stadium

แมตช์ประเดิมทัพ "ช้างศึก" ที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ

3 มิถุนายน 2564

"ไทย VS อินโดนีเซีย"

แมตช์ประเดิมทัพ "ช้างศึก" ที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ

#แบกเป้ดูบอลไทย By #เก้นนิติพงษ์

 

“การเริ่มต้นดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง” ประโยคนี้ยังคงเปี่ยมไปด้วยความคลาสสิค และใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยไม่เคยเปลี่ยน เช่นเดียวกับสถานการณ์ของทีมชาติไทยในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง กับโปรแกรมที่เหลืออยู่อีกสามนัดด้วยกัน

 

และแน่นอนว่า หากจะบอกว่าการลงสนามกับ อินโดนีเซีย ในค่ำคืนนี้ (23.45 น. ตามเวลาประเทศไทย) คือแมตช์ที่สำคัญที่สุด และมีค่าดุจทองคำก็คงจะไม่ผิดไปจากนี้แต่อย่างใด

คำถามคือ “เพราะอะไร” เกมๆ นี้ จึงมีมูลค่าทางใจ และทางกายภาพที่สูงลิบ ท่ามกลางความคาดหวังของแฟนบอลไทยทั้งโลก วันนี้เราจะมาร่วมวิเคราะห์ไปพร้อมๆ กัน…

 

ประเด็นแรกเลยก็คือ เราต้องการให้เกมนัดนี้เป็น “Turning Point” หรือ “จุดเปลี่ยน” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย

 

อย่างที่ผมได้เคยกล่าวไว้ในคอลัมน์ “แบกเป้ดูบอลไทย” ว่า ทีมชาติไทยของเรานั้นต้องเผชิญกับปัญหาก่อนที่เกมนี้จะเริ่มคิกออฟแทบจะทุกทาง ทั้งเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลัก บวกกับสถานการณ์โควิด-19 อีกทั้งสถานการณ์ที่บีบบังคับให้เราจำเป็นต้องจบในฐานะแชมป์กลุ่มให้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากการหาทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุดเพื่อผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย หลัง เกาหลีเหนือ ประกาศถอนตัวออกจากรอบคัดเลือกหนนี้

 

แน่นอนครับ ชีวิตของเราต้องมีเป้าหมาย และเป้าหมายของทัพ “ช้างศึก” ในครั้งนี้ก็คือ การคว้าชัยชนะให้ได้ทุกนัด !!!

 

ทุกคนรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเราอยากจะทำให้ได้เพื่อจบการแข่งขันรอบนี้ในฐานะ “แชมป์กลุ่ม” เราเองจำเป็นต้องประกาศศักดาสร้างความเชื่อมั่น และสร้างแรงสั่นสะท้านไปทั่วเอเชียให้ได้ตั้งแต่เกมนัดแรกกับ อินโดนีเซีย  

 

ด้วยฟีฟ่า-แรงกิ้งที่ห่างกันพอสมควร (อันดับ 20 กับ 35 ของทวีปเอเชีย) บวกกับขุมกำลังที่มองดูแล้วเรายังดูเหนือกว่าในแง่ของประสบการณ์ เพราะอย่าลืมว่า อินโดนีเซีย ภายใต้การนำของ ชิน แต-ยัง หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้ ที่รู้ตัวอยู่เต็มอกว่าพวกเขาต้องร่วงตกรอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

บวกกับแข้งสายเลือดใหม่ของทัพ “การูด้า” ที่ไม่มีใครอายุเกิน 30 ปีเลยแม้แต่คนเดียว แถมยังติดทีมชาติรวมกันทั้งทีมแค่ 48 นัด หากจะบอกว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะโยนความกดดันไปให้กับคู่แข่งร่วมกลุ่มทั้ง เวียดนาม, มาเลเซีย หรือแม้แต่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยการประเดิมคว้าสามคะแนนได้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 

หากทุกอย่างเกิดเป็นใจ และช่วยให้เราคว้าชัยเหนือ อินโดนีเซีย ในค่ำคืนนี้ได้ สถานการณ์ในกลุ่ม G พลิกอีกครั้งทันที เพราะทัพ “ช้างศึก” จะมีแต้มเท่ากับจ่าฝูงอย่าง เวียดนาม ทันที และมีอันดับเหนือกว่าทัพ “ดาวทอง” ทันทีด้วยเงื่อนไข “Tiebreakers” ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า หากแต้มเท่ากัน สิ่งต่อไปที่จะถูกนำมาพิจารณ์นั่นคือ “ผลต่างประตูได้เสีย” ตามด้วย “ประตูได้” ที่เราจะเหนือกว่าทันทีหากสามารถชนะ อินโดนีเซีย ได้

 

และนั่นจะเป็นการโยนความกดดันกลับไปที่ เวียดนาม ที่มีโปรแกรมนัดแรกบนผืนแผ่นดิน ยูเออี ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้กับ อินโดนีเซีย ทันที

 

ประเด็นต่อมาคือ ถึงเวลาพิสูจน์จิตใจของ “สายเลือดใหม่”

 

ทุกคนรู้ดีว่าการขาดสามทหารเสือที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในสีเสื้อทีมชาติไทยมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมาทั้ง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีราทร บุญมาทัน และธีรศิลป์ แดงดา คือหนึ่งในประเด็นที่ทำให้แฟนบอลบ้านเรารู้สึกอึดอัด และกังวลใจเป็นอย่างยิ่งกับสามเกมข้างหน้าต่อจากนี้

 

เพราะทุกคนรู้ดีว่าทั้งสามคือ กุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนทีมชาติไทยมาโดยตลอด หากแต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ ทำให้ อากิระ นิชิโนะ ไม่มีทางเลือกนอกจากจำเป็นต้องก้าวไปข้างหน้าต่อ

 

หากมองในแง่ดี นี่คือโอกาสที่เราจะได้สร้าง “เพชร” กลุ่มใหม่ขึ้นมาเป็นตัวเลือกให้กับทัพ “ช้างศึก” ด้วยนักเตะที่ทำผลงานในลีกได้อย่างยอดเยี่ยมไล่มาตั้งแต่ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, สุภโชค สารชาติ, ศศลักษณ์ ไหประโคน และปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ บวกกับแข้งที่เปรียบเสมือนแกนหลักในทีมชุดนี้ทั้ง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, สารัช อยู่เย็น, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, มานูเอล ทอม เบียร์ห, พรรษา เหมวิบูลย์ หรือแม้แต่ อดิศักดิ์ ไกรษร

 

นี่ยังไม่นับขุมกำลังระดับท๊อปทั้ง นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, เอกนิษฐ์ ปัญญา, ศุภชัย ใจเด็ด รวมถึงวันเดอร์คิดอย่าง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ที่พร้อมจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า “ถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ” และ “อายุ” หาใช่อุปสรรคต่อการลงสนามรับใช้ชาติแต่อย่างใด

 

การลงสนามในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะด้วยศักดิ์ศรีของทุกชาติในเอเชีย บวกกับมาตรฐานของคู่แข่งในกลุ่มที่ใกล้เคียง และสูสีกันมาก แน่นอนว่าหากเราต้องการที่จะคว้าชัยชนะให้ได้ทุกนัด นักเตะไทยชุดนี้ก็จำเป็นที่จะต้องแสดงออกถึงทัศนคติของความมุ่งมั่นที่ต้องการเอาชนะให้ได้มากกว่า อินโดนีเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมาเลเซีย นั่นคือบทพิสูจน์ที่ท้าทายชีวิตนักฟุตบอลมากที่สุดในชีวิต

 

อยากบอกให้นักฟุตบอลทีมชาติไทย รวมถึงทีมงานทุกคนให้ได้รับรู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราแค่อยากให้คุณรู้ไว้ว่า เราภูมิใจในตัวพวกคุณทุกคนเสมอ และทุกครั้งที่เราได้ยิงเสียงเพลงชาติก่อนที่เกมจะเริ่ม หรือแม้แต่เสื้อที่มีตรา “ช้างศึก” บนอกข้างซ้ายซึ่งตรงกับตำแหน่งของหัวใจ พวกคุณรู้หรือไม่ว่าทุกท่วงท่า ทุกหยาดเหงื่อ และทุกๆ การต่อสู้ในสนามของพวกคุณมันทำให้เราฮึกเหิมมากแค่ไหน เลือดที่สูบฉีดจนหัวใจพองโต มันทำให้เราพร้อมจะส่งเสียงเชียร์คุณแบบไม่มีหมด มันคืออารมณ์ที่บางทีผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกตื่นเต้น และมีอารมณ์ร่วมกับทีมชาติไทยมากขนาดนี้

 

...สงสัยมันอาจเป็นเพราะ “ความรัก” ล้วนๆ

 

วันนี้คือวันที่พวกเราเฝ้ารอคอยมานานที่จะได้ส่งใจเชียร์ทีมชาติไทยสดๆ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ไปถึงขอบสนาม แต่ขอให้ทุกคุณรู้ไว้ว่า ทุกครั้งที่คุณมองขึ้นไปยังบนเก้าอี้หรืออัฒจันทร์ที่ว่างเปล่า จะมีแฟนบอลไทยคอยส่งกำลังใจผ่านสายลม และฟากฟ้าไปให้เสมอ โดยที่ระยะทางนับพัน หรือหมื่นไมล์นั้นก็มิอาจมาขวางกั้นความรัก และศรัทธาที่เรามีต่อทีมชาติไทยได้...

 

คุณคือความภูมิใจของเรา

เราเชื่อว่าพวกคุณทำได้

 

ทำให้เต็มที่ สู้ให้สุดใจ แล้วหลังจบเกมคืนนี้ เราจะมาร่วมฉลองชัยชนะ และสามคะแนนสำคัญที่มีค่าดุจยิ่งกว่า “ทองคำ” ไปด้วยกัน

 

ฟุตบอลไทยจงเจริญ… สู้โว้ย !!!

 

ทั้งนี้ แฟนๆ สามารถติดตามการประกาศรายชื่อ 11 ตัวจริงของไทยแบบสดๆ พร้อมกันที่แรก และวิเคราะห์เกมแบบเข้มข้นจาก "ฟลุ้ค" ธีรยุทธ บัญหนองสา และ "โค้ชธง" ธงชัย สุขโกกี ได้ที่รายการ Changsuek The Survival ทางเพจ ช้างศึก เวลา 22.00 น. คอบอลไทยตัวจริง “ห้ามพลาด” !!!

 

#โปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทย ในศึก “ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2”  

 

วันที่ 3 มิถุนายน 2564

- ทีมชาติไทย พบ อินโดนีเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตูม

 

วันที่ 7 มิถุนายน 2564

- ยูเออี พบ ทีมชาติไทย เวลา 23.45 น. ณ สนามซาบีล

 

วันที่ 15 มิถุนายน 2564

- ทีมชาติไทย พบ มาเลเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตูม

 


stadium

author

เก้น นิติพงษ์ยวนตระกูล

ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มเมืองเหนือไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล และบรรณาธิการกีฬา ที่คลั่งไค

La Vie en Rose