29 พฤษภาคม 2564
ปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลัก บวกกับสถานการณ์โควิด-19 ได้สร้างแรงกระเพื่อม และความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับทีมชาติไทย ภายใต้การนำของ อากิระ นิชิโนะ เพราะด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับให้เราจำเป็นต้องจบในฐานะแชมป์กลุ่มให้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากการหาทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุดเพื่อผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย หลัง เกาหลีเหนือ ประกาศถอนตัวออกจากรอบคัดเลือกหนนี้
แม้ว่าการผจญภัยของทัพ “ช้างศึก” หนนี้อาจจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หากแต่ภายใต้ฟ้าที่ดูอึมครึม เราเองยังพอจะสัมผัสได้ถึงสิ่งดีๆ หลายอย่างเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มนักเตะที่ถูกมองว่าเป็น “สายเลือดใหม่” ที่เข้ามาเติมเต็มในช่วงที่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ของเรากำลังนับถอยหลังสู่การเปลี่ยนถ่ายครั้งสำคัญอีกหนหนึ่งในรอบทศวรรษ
นี่คือกฎธรรมชาติที่แสนเรียบง่าย เพราะไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดในโลกที่ฝืน หรือเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” ได้ และการเตรียมตัวพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง คือเงื่อนไขที่ดีที่สุดที่ อากิระ นิชิโนะ และทีมงานจะทำได้ในเวลานี้
นั่นคือ “ความกล้า” ที่จะให้โอกาสกับนักเตะเลือดใหม่เหล่านี้
จนนำมาซึ่งการเรียกตัว ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร มิดฟิลด์วัย 21 ปี ที่พิสูจน์ตัวเองให้คนไทยได้เห็นหลังสามารถยึดตัวหลักของ เลสเตอร์ ซิตี้ U23 ในฤดูกาลที่ผ่านมา รวมถึงมีชื่อในทีมชุดใหญ่ของ “จิ้งจอกสยาม” ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนถูก อากิระ นิชิโนะ เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น เรียกตัวติดทีมชาติไทยเป็นครั้งแรก
การเรียก ธนวัฒน์ เข้าสู่รั้วทีมชาติในครั้งนี้ เกิดกระแสแยกออกเป็นสองทางทันที บ้างก็มองว่านี่คือ “ความเสี่ยง” ที่ผิดเวลา เพราะอย่าลืมว่านี่คือทัวร์นาเม้นต์ที่ นิชิโนะ ไม่สามารถลองผิดลองถูกได้ในทุกกรณี แต่อีกเสียงหนึ่งก็พูดตรงกันว่า นี่คือหนึ่งในการเรียกตัวที่ “น่าสนใจ” มากที่สุดครั้งหนึ่งของวงการฟุตบอลไทยยุคใหม่เลยก็ว่าได้ เพราะอย่าลืมว่า ธนวัฒน์ เองการันตีฝีเท้าได้จากการติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุด U16 และ U17 อีกทั้งการมีชื่ออยู่ในม้านั่งสำรองในศึกพรีเมียร์ลีก กับ เลสเตอร์ ซิตี้ แน่นอนว่าเขาหาใช่ของปลอมทำเหมือนแต่อย่างใด หากแต่ ธนวัฒน์ คือ “ของจริง” ที่ไม่เคยมีนักเตะไทยคนไหนทำได้ หรือเฉียดใกล้จุดดังกล่าวแม้แต่คนเดียว
ด้วยอายุเพียงแค่ 21 ปี แต่ด้วยประสบการณ์ลูกหนังบนเวทีที่มีมาตรฐานสูงกว่าทุกแห่งในเอเชีย หากจะบอกได้ว่า “ถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ” คำๆ นี้ก็คงจะไม่ผิดไปจาก “กัน” แต่อย่างใด
“เขามาจาก พรีเมียร์ลีก ผมได้เห็นการซ้อมจึงรู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่ดีมาก เขาเป็นคนนิสัยดี และพยายามจะเข้าหาเพื่อนๆ ผมอยากให้เขาปรับตัวเองในการเข้าหาเพื่อนร่วมทีมให้มากขึ้น และได้ลงสนามให้เราด้วย”
“ธนวัฒน์ เป็นนักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง มีเบสิคแน่น ผมรู้สึกว่าเขามีสไตล์การเล่นคล้าย ๆ อันเดรส อิเนียสต้า และชาบี เอร์นานเดซ ผมรู้สึกมีความหวังที่ได้เขามาร่วมทีม” นี่คือบทสัมภาษณ์สั้นๆ แต่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์แห่งความคาดหวังจาก อากิระ นิชิโนะ ที่มองว่า ธนวัฒน์ จะเข้ามามีบทบาทกับทีมชาติไทยชุดใหญ่นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
เพราะชีวิตของคนเรา บางครั้งเราเองก็ต้องการเพียงแค่จุดเปลี่ยนสำคัญสักครั้ง คล้ายๆ กับการมองหา “จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย” ที่เข้ามาเติมเต็มภาพของเราให้ดูสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกับทีมชาติไทยที่ไม่แน่ว่า การเข้ามาของนักเตะดีกรีสูงแบบ ธนวัฒน์ จะช่วยให้บรรยากาศของทีมนั้นสดชื่น คึกคัก และเข้มข้นในการฝึกซ้อมเพื่อต่อสู้ตำแหน่งตัวจริงของทุกๆ คนในทีม ซึ่งล้วนแต่เป็นผลดีต่อทัพ “ช้างศึก” ไปแบบเต็มๆ
ยังมีเวลาในการหาพื้นที่ หรือจุดที่ลงตัวที่สุดของ ธนวัฒน์ กับทีมชาติไทยชุดนี้ในเกมอุ่นเครื่องกับ ทาจิกิสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งแน่นอนว่านี่คืออีกหนึ่งช่วงเวลาที่ท้าทายความสามารถของทั้งทีมสต๊าฟ ตลอดจนดาวเตะจาก เลสเตอร์ ซิตี้รายนี้ ที่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อซื้อใจ อากิระ นิชิโนะ และเพื่อนร่วมทีมทุกคนได้เห็นว่า เขานี่แหละคืออีกหนึ่งฟันเฟืองที่พร้อมเข้ามาขับเคลื่อนทีมชาติไทย ตลอดจนทำเพื่อแทนคำขอบคุณทุกแรงสนับสนุนจากแฟนบอลชาวไทยที่ล้วนแต่ส่งใจให้กับ ธนวัฒน์ ทันที ตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นฟอร์มด้วยสองตาด้วยซ้ำ
ถึงเวลา "ธนวัฒน์" กับบทบาทจอมทัพทีมชาติไทย ? อันนี้ผมเชื่อว่ายังไม่มีใครสามารถตอบได้ นี่คือคำถามที่น่าสนใจ และเชื่อได้เลยว่า ธนวัฒน์ เองก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง ทุ่มเทให้เกินร้อย เพื่อใช้ผลงานในสนามแทนคำพูด และตอบกลับไปว่า “ใช่ครับ ถึงเวลาแล้ว”
3 มิถุนาในเกมที่จะพบกับ อินโดนีเซีย… ถ้าวันนั้นเราเห็นชื่อ ธนวัฒน์ ออกสตาร์ทในฐานะ 11 ตัวจริง ก็คงจะบอกได้ว่า เจ้าตัวสามารถมอบความเชื่อมั่นให้กับ อากิระ นิชิโนะ, เพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลชาวไทยทุกคนได้ทันเวลา และพร้อมเต็มที่กับทุกๆ วินาทีในการรับใช้ชาติครั้งแรก...
เป็นกำลังใจให้นะครับน้องกัน...
#โปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทย ในศึก “ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2”
วันที่ 3 มิถุนายน 2564
- ทีมชาติไทย พบ อินโดนีเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตูม
วันที่ 7 มิถุนายน 2564
- ยูเออี พบ ทีมชาติไทย เวลา 23.45 น. ณ สนามซาบีล
วันที่ 15 มิถุนายน 2564
- ทีมชาติไทย พบ มาเลเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตูม
TAG ที่เกี่ยวข้อง