20 พฤษภาคม 2564
การขอถอนตัวของ”เจ้าอุ้ม”เมื่อค่ำวานที่ผ่านมากลายเป็นข่าวที่สร้างความช็อคให้บรรดาแฟนบอลชาวไทยทั่วประเทศ จนถึงขนาดที่ว่ามีคนอุปมาอุปมัยว่าค่าความเสียหายในการถอนครั้งนี้ถ้าเทียบเป็นดีกรีก็คงจะมีไม่ต่างจากแผ่นดินไหวขนาดหลายริกเตอร์ที่ทั้งสร้างความเสียหายและก่อให้เกิดผลกระทบมากมายแก่ทีมชาติไทย (บางคนเล่นถอนหายใจโบกธงขาวตั้งแต่ที่เห็นข่าว บ้างก็ว่ามันจบแล้วครับนาย)
จริงๆผมค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของตัวอุ้มนะ เพราะเชื่อว่าตัวอุ้มเองก็คงรู้สึกปวดใจไม่น้อยและมันก็คงเป็นอีกหนึ่งในการตัดสินใจที่ยากลำบากบนเส้นทางการค้าแข้งอาชีพครั้งหนึ่ง(อย่าลืมนะครับว่าด้วยอายุอานามของอุ้มในตอนนี้ บางทีคัดบอลโลกหนนี้อาจเป็นหนสุดท้ายของเจ้าตัวแล้วก็เป็นไปได้)
และถ้าหากใครจะบอกว่าอุ้มเห็นสโมสรและอนาคตในการค้าแข้งอาชีพของตนสำคัญกว่าชาตินั้น ผมว่ามันค่อนข้างจะพูดหนักเกินไปหน่อยและก็คงจะไม่แฟร์เท่าไหร่กับอุ้ม เพราะกับข้อกำหนดในมาตราฐานด้านความปลอดภัยทางสาธารณสุขของประเทศญี่ปุ่นที่บังคับให้เจ้าตัวต้องกักตัวถึง14วัน(เมื่อเดินทางกลับเข้าประเทศ)บวกช่วงเวลาเรียกฟิตที่อาจต้องมีอีก1-2อาทิตย์และกับสถานการ์ณในเจลีกและสโมสรต้นสังกัดอย่างมารินอสที่การขาดหายไปของอุ้มซึ่งในเวลานี้ยังหาแข้งรายอื่นมาทดแทนไม่ได้และไหนจะต้องห่างจากลูก-เมียอีกเป็นเดือนๆ มองยังไงมันก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
ทีนี้มาลองถกกันว่าหากทีมชาติไทยไม่มีโก๋อุ้มยืนกราบซ้ายในสามนัดในคัดบอลโลกที่เหลือของไทย มันจะเสียหายมากมั้ย? และเราจะรับมือกับการขาดหายไปของอุ้ม อย่างไรดี?
กับคำถามแรกที่ว่าเสียหายมากมั้ย? ผมว่า “ก็มากอยู่นะแต่ไม่ถึงกับโคม่า” เพราะหากลองกวาดสายตามองดูในลิสรายชื่อที่เหลืออยู่ ผมว่าทีมชาติไทยยังพอมีอะไหล่ที่พอจะทดแทนได้ (แม้ประสบการ์ณและชั่วโมงบินอาจไม่มากเท่าอุ้มแต่ฝีเท้าเรายังพอเชื่อขนมกันได้)
กับ”เจ้าพี” ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่เคยเป็นข่าวกับอดีตทีมแชมป์เคลีกอย่างชุนบุก ฮุนได มอเตอร์ที่สนใจอยากได้ตัวไปเล่น หรือจะเป็นเออร์เนสโต อมันเตกี ภูมิภา แบ๊คซ้ายลูกครึ่งไทย-สเปนที่มีประสบการ์ณการค้าแข้งมาแล้วมากมายกับหลายสโมสรทั้งที่ไทยและสเปน ผมมองว่าสองคนนี้คืออะไหล่ชิ้นดีที่พอจะทดแทนการขาดหายไปของอุ้มได้
พีเองเคยเล่นในฝั่งซ้ายในนามทีมชาติชุดใหญ่มาแล้วก็หลายนัดอยู่ แถมยังเคยร่วมงานกับโค้ชนิชิโนะมาแล้ว เรื่องการปรับตัวและความเข้าใจในสิ่งที่โค้ชต้องการคงไม่มีปัญหาสำหรับเจ้าตัว
ในขณะที่ในรายของเออร์เนสโต อมันเตกี ภูมิภา แม้นี่จะเป็นการร่วมงานครั้งแรกของเจ้าตัวกับลุงโนะและในนามทีมชาติชุดใหญ่ แต่ด้วยอายุและประสบการ์ณการค้าแข้งที่โชกโชน ผมเชื่อว่า “โน พลอบแพลม”
อีกข้อที่ทำให้ผมกล้าบอกว่าการขาดหายไปของอุ้มจะไม่เป็นข้อกังวลมากนักสำหรับการไปยูเออีหนนี้ เพราะทีมชาติไทยยังพอมีเวลาในการทดลอง, จูน และปรับทีมค่อนข้างมากอยู่พอสมควร ซึ่งต่างจากเคสที่เราเล่นกับมาเลย์ซึ่งหนนั้นก็ไม่มีอุ้มเช่นกันแต่ครั้งนั้นมันไม่มีเกมอุ่นเครื่องให้ได้ลองระบบ
และกับคำถามในข้อที่สองที่ว่าเราจะรับมือกับการขาดหายไปของอุ้ม แบบไหนดี? ผมคิดว่าความเป็นไปได้ที่อาจาร์ยนิชิโนะจะยังคงยึดในแผน 4-2-3-1 ยังมีเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าการเสี่ยงเปลี่ยนแผนการเล่นเพราะโจทย์ของไทยคือเก้าแต้มเต็ม เพียงแต่ด้านรายละเอียดปลีกย่อยที่สำคัญๆอย่างพวกลูกตั้งเตะ, ปลอกแขนกัปตัน และทรานซิชั่นของเกมทางฝั่งซ้าย แน่นอนว่าคงต้องมีการลงรายละเอียดกันใหม่ทั้งหมด
ผมมั่นใจว่าสามเกมที่ไทยจะลงเล่นที่ตะวันออกกลาง แฟนบอลอย่างเราๆท่านๆจะได้เห็นทีมชาติไทยที่ต่างออกไป, ได้เห็นกึ๋นของอาจาร์ยนิชิโนะมากขึ้น และอาจได้เห็นช้างศึกที่ยึดโยงกับบอลระบบมากกว่าตัวผู้เล่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆในทีมชาติญี่ปุ่นที่หลายครั้งพวกเขาก็ใส่ชื่อนักเตะลงสนามโดยชูเรื่องทีมเวิร์คมากกว่าชื่อเสียงเฉพาะรายบุคคล
“จงสู้อย่างกล้าหาญให้ได้อย่างซามูไรจากในทั้งหมดที่เรามี!”
และสำหรับปุจฉา(ที่น่าจะมีอยู่มากมาย)ในวันที่ไร้อุ้มยืนกาบซ้าย ผมว่าวิสัชนาคงไม่สำคัญแล้วล่ะในเวลาแบบนี้ เพราะสำหรับแฟนบอลชาวไทย ไม่ว่าใครจะถูกส่งลงสนาม เราก็เชียร์ทุกคนด้วยความภาคภูมิใจ
ขอให้นักฟุตบอล, โค้ชและทีมงานเดินทางอย่างปลอดภัย และเล่นให้เต็มที่เพื่อศักดิ์ศรี, รอยยิ้มและความสุขของคนไทย ในยามนี้ที่ผมเชื่อว่าฟุตบอลอาจเป็นหนึ่งในเวย์ที่จะคืนความสุขให้คนไทยได้บ้าง หลังจากที่โควิดได้ทำลายทุกอย่างไป
“โอเล โอเล่ ไทยแลนด์!”
TAG ที่เกี่ยวข้อง