stadium

สถาพร แดงสี “ผมพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองมาตลอด”

16 พฤษภาคม 2564

สถาพร แดงสี “ผมพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองมาตลอด”

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand
#ChangsuekAttitude

 

พฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบวันเกิดของ “หนุ่ม” สถาพร แดงสี ที่ต่างจากวันเกิดของปีไหนๆ ครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่ร่วมฉลองกับคนใกล้ชิดในครอบครัว เพราะต้องเข้ามาเก็บตัวอยู่ในแคมป์ของทีมชาติไทย การมีรายชื่อติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรกในวัย 33 ปี ถือเป็นของขวัญวันเกิดสุดพิเศษของกองหลังสารพัดประโยชน์แห่งไทยลีกรายนี้ สถาพรเคยบอกว่าการติดทีมชาติเป็นความฝันสูงสุดในอาชีพนักฟุตบอลของตน ในวัยนี้เขาคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ทว่าในที่สุดเมื่อความฝันเป็นจริงก็ทำให้เขาทั้งแปลกใจและดีใจอย่างบอกไม่ถูก และที่สำคัญมันพิสูจน์ให้รู้ว่า สิ่งที่เขาสู้มาตลอดไม่สูญเปล่า มันตอบแทนเขาแล้วในวันนี้

            

สถาพรเล่าว่าเขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลด้วยความสนุกตามประสาเด็กผู้ชาย บ้านเกิดของเขาอยู่ที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ในวัยเด็กมักตามพี่ชายไปเล่นฟุตบอลเป็นประจำ แต่ไม่ได้จริงจังอะไร กระทั่งเรียนชั้นมัธยมปลายแล้วเล่นฟุตบอลจนติดทีมโรงเรียน ได้ลงแข่งขันรายการต่างๆ ทั้งระดับจังหวัดและระดับภาค กระทั่งมีโอกาสไปเล่นฟุตบอลเยาวชนแห่งชาติ ทำให้เขาเริ่มมองเห็นเป้าหมายอนาคตของตนชัดเจนขึ้น

            

“พอจบชั้น ม.6 ผมก็ตั้งเป้าครับว่าจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปเรียนและเตะฟุตบอลด้วย ผมไปคัดตัวที่มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ” สถาพรเล่า “ตอนอยู่ ม.ปลาย ผมเล่นตำแหน่งปีกหรือศูนย์หน้าเป็นส่วนใหญ่ แต่พอตอนคัดตัว เห็นว่าปีกกับกองหน้ามีคนสมัครเยอะมาก ผมเลยลองลงคัดตำแหน่งแบ็กซ้ายดู ก็เลยติดและได้เข้าเรียนครับ”

            

การสลับตำแหน่งจากตัวรุกมาเล่นเกมรับ ไม่ใช่เรื่องอึดอัดใจสำหรับสถาพรแต่อย่างใด ก็เพราะเคยผ่านสังเวียนฟุตบอลเดินสายมาอย่างช่ำชองนั่นเอง ทำให้เขามีความยืดหยุ่นสูงในการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก

            

“สมัยเรียน ม.ปลาย ผมชอบเตะบอลเดินสาย ใครชวนไปไหนผมก็จะไปเตะด้วย ตำแหน่งไหนขาดผมลงเล่นได้หมด ทั้งกองหลัง เซ็นเตอร์ฯ กองหน้า ปีก ก็ทำให้เรามีความยืดหยุ่น เรียนรู้การเล่นในหลายตำแหน่ง”

            

“ตอนเด็กๆ ผมมองว่า บอลเดินสายทำให้เรามีแมตช์ได้ทดสอบฝีเท้า ได้ฝึกทักษะ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอ อย่างไปเล่นกับทีมอื่น ที่จังหวัดอื่น มันทำให้เราได้รู้รูปแบบการเล่นของแต่ละทีมซึ่งแตกต่างกันไป เหมือนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอด ไม่ได้ตายตัว วิธีเล่นมันต้องปรับรูปแบบตามทีมที่เราเจอ มันดีตรงนี้”

            

หลังจากสถาพรผ่านการคัดตัวเพื่อเข้าศึกษาและเป็นนักเตะของทีมมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ โค้ชก็ส่งเขาลงเล่นในฟุตบอลลีกระดับดิวิชัน 2 

            

“ตอนเล่นฟุตบอลเดินสาย พอถึงวันแข่งเราก็ไปลงแข่งได้เลย แต่พอมาเล่นฟุตบอลอาชีพมันต่างกันครับ ถึงแม้เป็นดิวิชัน 2 คือต้องมีการซ้อม มีการจัดระบบระเบียบ ต้องมีความรับผิดชอบสูงพอสมควรครับ ไม่ใช่ว่าเราอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ต้องมีวินัย ฝึกซ้อมตามที่โค้ชสั่ง”

            

นับจากสถาพรได้เล่นฟุตบอลอาชีพให้กับทีมมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพเป็นสโมสรแรก หลังจากนั้นเขาผ่านประสบการณ์ค้าแข้งกับอีกหลายสโมสร 

            

แต่หากถามว่าเจ้าตัวจดจำช่วงเวลาที่เล่นให้สโมสรใดมากที่สุด คำตอบคือ “ช่วงที่ผมไปอยู่สโมสรนครราชสีมาฯ เมื่อปี 2558 ตอนนั้นผมเพิ่งย้ายมาจากดิวิชัน 1 (สโมสรตราด เอฟซี) แฟนบอลเขาก็มองว่าฝีเท้าและดีกรีของผมยังไม่ถึงไทยลีก เล่นแล้วยังด้อยกว่าคนอื่น เขาสงสัยว่าเราจะช่วยทีมได้เหรอ มันทำให้ผมคิดตลอดว่าจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนที่ดูถูกหรือมองเราในแง่ลบได้เห็นว่าผมก็ทำได้...”

            

“จากตรงนั้นทำให้ผมปรับเปลี่ยนวิธีคิด พยายามซ้อมให้หนัก ปรับตัวให้เร็ว เพราะเรามาจากลีกล่าง ก็ลำบากอยู่ จังหวะฟุตบอลมันต่างจากไทยลีกอยู่แล้ว ซึ่งก็ต้องใช้ความขยัน แล้วก็รู้จักเรียนรู้แทคติกที่โค้ชสอน เพื่อจะเอามาใช้ในสนามแข่งให้เกิดประโยชน์ที่สุด จนเราเริ่มปรับตัวได้ ลงสนามไปแล้วเล่นได้ ทำผลงานสม่ำเสมอต่อเนื่อง แฟนบอลก็ยอมรับในตัวผม นี่ล่ะสิ่งที่ผมมีความสุขที่สุดตอนที่อยู่กับโคราช”

            

สถาพรยังเล่าว่า ในเวลานั้นเมื่อเขาปรับตัวกับฟุตบอลไทยลีกได้แล้ว จนสร้างผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ก็เริ่มมีหลายทีมให้ความสนใจ เปิดโอกาสให้ได้ย้ายไปสู่ทีมใหญ่ในเวลาต่อมาอย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด กระทั่งได้หวนกลับมาร่วมทีมตราด เอฟซีอีกครั้ง ในปี 2562

            

“การเล่นให้ทีมใหญ่อย่างบุรีรัมย์หรือบียู ความคาดหวังมันสูง คือทีมต้องชนะ ต้องได้สามแต้ม ซึ่งเวลาเราลงไปทำหน้าที่จะกดดัน รู้สึกกังวลและเครียดเวลาเล่นบอล แล้วภายในทีมมีการแข่งขันกันสูงด้วยครับ” เจ้าตัวเผยประสบการณ์ “ส่วนการเล่นให้ทีมตราด ซึ่งขนาดของทีมไม่ใหญ่ นักเตะอาจไม่ค่อยมีชื่อเสียง แต่ด้วยมีความกดดันน้อย มันทำให้เวลาลงสนามเราจะมีความคิด จินตนาการ และสามารถเล่นได้เป็นตัวของตัวเองมากกว่าครับ แล้วเวลาเราเล่นผิดพลาด ก็สามารถดึงตัวเองกลับมาได้ดีกว่า”

            

สำหรับผลงานในไทยลีกฤดูกาล 2020/21 ที่เพิ่งจบลง สถาพรได้รับโอกาสลงเล่นถึง 28 นัด สุดท้ายแม้ทีมต้นสังกัด ตราด เอฟซี ไม่สามารถอยู่รอดในลีกสูงสุด ต้องตกลงไปเล่นในไทยลีก 1 แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอของเขา ทำให้สถาพรถูกเรียกเข้าแคมป์เก็บตัวของทีมชาติไทย เพื่อคัดตัวไปสู้ศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รอบ 2 ที่ประเทศยูเออี เรื่องที่น่าสนใจก็คือ นี่เป็นการติดทีมชาติครั้งแรกของเขาในวัย 33 ปี

            

“ผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีโอกาสติดทีมชาติในครั้งนี้ มันเป็นความฝันของผมนะที่อยากติดทีมชาติสักวัน แต่ด้วยอายุ 33 ปีแล้ว จนผมเริ่มหมดหวัง แต่ในที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริง ถึงจะมาช้าไปนิดนึง” เจ้าตัวเผยความรู้สึก 

            

“ผมตั้งใจจะทำผลงานของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงจะมีชื่อได้ไปหรือไม่ได้ไปยูเออี ผมไม่ซีเรียสครับ ขอแค่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองตามที่ทีมงานสตาฟโค้ชเขาเรียกเรามา หรือไว้ใจให้เรามาทดสอบ แค่นี้ก็รู้สึกภูมิใจแล้วครับ”

            

สื่อมวลชนบางรายวิเคราะห์ว่า เหตุที่สถาพรเป็นตัวเลือกของโค้ช อากิระ นิชิโนะ ในครั้งนี้ ก็เพราะความเป็นกองหลังสารพัดประโยชน์นั่นเอง เขาเล่นได้ทั้งตำแหน่งแบ็ก วิงแบ็ก รวมทั้งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟถนัดเท้าซ้ายที่หาไม่ได้อีกในไทยลีก

            

การติดทีมชาติครั้งแรกนอกจากจะนำมาซึ่งความสมหวังและภาคภูมิใจ มันยังพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่เขาสู้มาตลอดไม่สูญเปล่า

            

“อย่างที่บอกว่า ผมมีความฝันอยากติดทีมชาติสักวันหนึ่ง ถึงไม่รู้หรอกว่าวันไหนจะเป็นจริง แต่ผมก็ทำงานหนักทุกวัน เพื่อที่จะสร้างโปรไฟล์ หรือสร้างผลงานของตัวเองเพื่อให้ยืนอยู่ในไทยลีกได้นานที่สุด เพราะถ้าผลงานเราดี ก็จะมีทีมให้เล่นต่อ แต่ถ้าผลงานเราไม่ดี ก็ไม่มีทีมให้เล่น ผมก็เลยพยายามทำทุกอย่าง ฝึกซ้อมหนักและเรียนรู้เรื่องฟุตบอลใหม่ๆ แล้วก็ดูแลร่างกายตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อการยืนระยะต่อไป ใช่ครับ ผมพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองมาตลอด แล้วสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดก็ไม่สูญเปล่า เรามีทีมให้ไปต่อ และที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือได้ติดทีมชาติ”

            

ถึงตอนนี้คนที่เกาะติดข่าวสารความเคลื่อนไหวในวงการฟุตบอลไทยคงรู้แล้วว่า หลังจากสถาพรเพิ่งหมดสัญญากับทีมตราด เอฟซี ล่าสุดเขาเซ็นสัญญาเข้าสังกัดใหม่เรียบร้อย ก็คือทีมน้องใหม่ไทยลีก 2021 อย่างสโมสรหนองบัว พิชญ เอฟซี

            

นั่นหมายความว่านักเตะวัย 33 อย่างเขายังมีที่ยืนในลีกสูงสุดต่อไป

            

“ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ยิ่งอายุเราเยอะก็ต้องดูแลตัวเอง ให้ความสำคัญเรื่องอาหารและการพักผ่อน จะปล่อยตัวไม่ได้ ถ้าเราคิดว่าจะเล่นฟุตบอลต่อไปในอนาคต คนที่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้จะยืนระยะได้ไม่เท่าคนที่ดูแลตัวเองสม่ำเสมอ”

            

สถาพรเผยว่าตั้งใจจะเล่นฟุตบอลในไทยลีกไปจนถึงอายุ 35 ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก หากดูจากความมุ่งมั่นที่เขาพยายามรักษามาตรฐานของตัวเองในด้านต่างๆ 

            

รวมทั้งโอกาสในการกลับมาติดทีมชาติครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

โฆษณา