15 พฤษภาคม 2564
ในโลกของฟุตบอล นอกเหนือจากเกมรุกที่ต้องเดินหน้าเพื่อล่าประตูด้วยความดุดันเกรี้ยวกราดแล้ว “เกมรับ” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะของเกมๆ นั้นได้ แน่นอนว่านี่คือหัวใจที่ อากิระ นิชิโนะ จะไม่มีวันมองข้ามไปอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อนำทีมชาติไทยพิชิตเป้าหมายของการผ่านเข้าสู่รอบต่อไปให้ได้
แม้จะยังไม่มีการประกาศรายชื่อผู้เล่นชุดที่จะใช้ในการลงทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกหนนี้แบบชัดเจน หากแต่กลุ่มนักเตะที่กุนซือแดนปลาดิบรายนี้เรียกเข้ามาล้วนแต่เป็นขุนพลระดับท๊อป และอาจจะใช้คำว่า “ดีที่สุด” ณ ขณะนี้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะแนวรับที่นำโดย พรรษา เหมวิบูลย์, มานูเอล ทอม เบียร์ห, ปวีร์ ตัณฑะเตมีย์, สุพรรณ ทองสงค์ หรือแม้แต่ วรวุฒิ นามเวช ที่ฝากผลงานไว้กับ การท่าเรือ เอฟซี ได้อย่างน่าพอใจ
ขณะที่ตัวริมเส้นที่ต้องรับสองบทบาททั้งเกมรุก และเกมรับนั้นก็ยังอุดมไปด้วยเหล่าขุนศึกฟอร์มร้อนแรงมากมายทั้ง ธีราทร บุญมาทัน, ศศลักษณ์ ไหประโคน, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, สันติภาพ จันทร์หง่อม รวมถึง เอร์เนสโต้ ภูมิภา และตัวเก๋าที่ติดธงมาอย่างยาวนานอย่าง ทริสตอง โด ทั้งหมดนี้ก็พอจะการันตีได้ว่า ทัพ “ช้างศึก” ของเรายังคงอุดมไปด้วยผู้เล่นที่มีคุณภาพเช่นเคย
หากแต่การจะมองว่าเรามีโอกาสคว้า 9 คะแนนเต็มจากสามเกมนั้นคงไม่สามารถวิเคราะห์ได้เพียงแต่คุณภาพของตัวเราแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะเหล่าบรรดาคู่แข่งที่เราต้องเจอทั้ง อินโดนีเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมาเลเซียเองก็ต่างระดมพลผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดเอาไว้อยู่คับทีมเช่นกัน
และนั่นคือสิ่งที่เราจะมาวิเคราะห์กันในวันนี้ด้วยกฎ “รู้เขา รู้เรา”
เริ่มจาก อินโดนีเซีย ภายใต้การนำของ ชิน แต-ยัง หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเกาหลีใต้ ที่รู้ตัวอยู่เต็มอกว่าพวกเขาต้องร่วงตกรอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากแต่ขึ้นชื่อว่าเป็นการลงสนามพบกับทัพ “การูด้า” แน่นอนว่าไม่เคยเป็นงานที่ง่ายสำหรับทีมชาติไทย ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอกันมาช้านาน บวกกับแข้งสายเลือดใหม่ที่ไม่มีใครอายุเกิน 30 ปีเลยแม้แต่คนเดียว อาจจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่สร้างปัญหาให้กับเกมรับทีมชาติไทยของเรา เพราะเราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว อินโดนีเซีย สายเลือดใหม่นี้จะมาไม้ไหน (นักเตะทั้ง 28 คน ติดทีมชาติรวมกัน 33 นัด)
ที่สำคัญ ความกระหายในการรับใช้ชาติ เพื่อพิสูจน์ตัวเองภายใต้ “ยุคใหม่” ของวงการฟุตบอลอินโดนีเซีย จะทำให้พวกเขาลงสนามชนิดพร้อมสู้แบบถวายหัว และไร้ความกดดันใดๆ ทั้งสิ้น นี่คือการบ้านที่ อากิระ นิชิโนะ และทีมงานต้องการแผนรับมือให้ดีที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยการไม่เสียประตูในเกมนัดแรก จะเป็นหลักประกันว่า เราจะมีแต้มในมือ และเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายให้ได้
เกมนัดที่สองกับ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คือหนึ่งในเกมที่อาจจะเรียกได้ว่าชี้ชะตาทัพ “ช้างศึก” กับการลงเล่นในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าเราเองเสียเปรียบทั้งในเรื่องของการลงเล่นในฐานะ “ทีมเยือน” (ยูเออี คือเจ้าภาพของกลุ่ม G) ความคุ้นเคยในเรื่องปัจจัยรอบข้างต่างๆ บวกกับมาตรฐานลูกหนังของเจ้าถิ่นที่ยังคงน่าเกรงขามอยู่เสมอ
ยูเออี ชุดนี้ยังคงอุดมไปด้วยนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ นำโดย อาลี มับคุต หัวหอกวัย 30 ปีจาก อัล-จาซีร่า ที่กดไปแล้ว 70 ประตูในสีเสื้อทีมชาติ รวมถึงแข้งโอนสัญชาติอย่าง ฟาบิโอ ลิม่า ที่เล่นได้ทั้งปีก และเพลย์เมคเกอร์ โดยเจ้าตัวถือเป็นหนึ่งในแข้งที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง หลังฝากสถิติการประตูให้กับต้นสังกัดอย่าง อัล-วาเซิล ได้ทะลุหลักร้อยประตู นับตั้งแต่โยกมาค้าแข้งใน ยูเออี ตั้งแต่ปี 2014
เท่านั้นยังไม่พอ ยูเออี ยังมีอีกหนึ่งแข้งโอนสัญชาติอย่าง ไคโอ กาเนโด้ คอร์เรีย ที่พร้อมจะลงลั่นกระสุนใส่แนวรับทีมชาติไทย นี่คืออีกหนึ่งความอันตรายที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแนวรับทัพ “ช้างศึก” ของเรามีมาตรฐานที่อยู่ตรงจุดไหนของทวีปเอเชีย และถ้าผ่านเกมนี้ไปได้ ก็เชื่อว่าคงไม่มีเหตุผลที่เราจะกลัวใครในเอเชียอีกต่อไป
ส่วนเกมนัดสุดท้ายกับ มาเลเซีย ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย หากแต่แท้จริงแล้วนี่อาจจะเป็นเกมที่ยากในระดับเดียวกับการเจอ ยูเออี เลยก็ว่าได้ เพราะอย่าลืมว่า มาเลเซีย ทีมนี้แหละที่เป็นฝ่ายยัดเยียดความปราชัยให้กับเราเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 ดังนั้นแนวรับของทีมชาติไทยจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นตัวเองให้มีสมาธิจนกว่าเสียงนกหวีดสุดท้ายจะดังขึ้น พร้อมกับประโยคที่ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “ความประมาท เป็นหนทางแห่งความตาย”
มาเลเซีย ชุดนี้มีผู้เล่นจาก ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ติดทัพมามากถึง 13 คน และเป็นผู้เล่นในแนวรุกมากถึง 6 คนด้วยกัน นำโดย กิลเยร์เม่ เดอ เปาล่า หัวหอกวัย 34 ปีที่โอนสัญชาติมาจาก บราซิล, ซยาฟิค อาหมัด ที่กดไปแล้ว 8 ประตูในสีเสื้อทีมชาติ รวมถึง โมฮามาดู ซูมาเร่ อดีตปีกตัวจี๊ดของ โปลิศ เทโร ที่พร้อมจะลงเล่นงานแนวรับ “ช้างศึก” นี่ยังไม่รวม นอร์ชาห์รุล อิดลัน หัวหอกจอมเก๋าวัย 34 ปี ที่เฝ้ารอคอยลั่นสกอร์ใส่ทีมชาติไทยในเกมนี้ให้ได้
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่แนวรับทีมชาติไทยของเราจะต้องเจอ หากแต่เราเชื่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกคุณจะต้องพกใส่ลงไปในสนามนั่นก็คือ “หัวใจ” ที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทีมเสียประตู บวกกับวินัยในเกมรับ และการตัดสินใจที่เด็ดขาด ไม่มีเล่นยาก และไม่มีลังเล
เราขอฝากความหวังครั้งใหญ่นี้ไว้กับพวกคุณ...
เรารู้ว่านี่ไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะคู่แข่งทุกทีมล้วนแต่มีเป้าหมายที่ไม่ต่างไปจากเรา
หากแต่เรายังเชื่อว่า สุดท้ายแล้ว ทีมชาติไทยจะสามารถกรุยทางผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ ด้วย “เกมรับ” ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจนพาทีมกวาด 9 คะแนนเต็มอย่างแน่นอน
ผมในฐานะแฟนบอลไทยคนหนึ่ง ขอเป็นกำลังใจให้กับนักเตะ และทีมงาน “ทีมชาติไทย” ชุดนี้ทุกคนนะครับ...
สู้สู้ !!!
#โปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทย
วันที่ 3 มิถุนายน 2564
- ทีมชาติไทย พบ อินโดนีเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตูม
วันที่ 7 มิถุนายน 2564
- ยูเออี พบ ทีมชาติไทย เวลา 23.45 น. ณ สนามซาบีล
วันที่ 15 มิถุนายน 2564
- ทีมชาติไทย พบ มาเลเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตูม
TAG ที่เกี่ยวข้อง