stadium

ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม "เวลาที่ท้อ ผมจะนึกถึงเป้าหมายในอนาคต"

9 พฤษภาคม 2564

ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม "เวลาที่ท้อ ผมจะนึกถึงเป้าหมายในอนาคต"
#ChangsuekAttitude

            

นับตั้งแต่จำความได้ ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม หรือ “เบียว” ก็มีฟุตบอลเป็นเพื่อน ในวัยเด็กเขามักเล่นฟุตบอลอยู่คนเดียว ภายในบ้านที่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก มันทำให้เขามีความสุข สัมผัสถึงความรู้สึกอิสระ ชักพาให้ก้าวไปบนเส้นทางของกีฬาลูกหนัง ผ่านการเล่นฟุตบอลและฟุตซอลให้ทีมโรงเรียนของอำเภอ กระทั่งติดทีมระดับจังหวัด เบียวเคยเล่าว่าเขาต่อสู้ด้วยฟุตบอล เพื่อถีบตัวเองให้พ้นความยากลำบากและขัดสนของครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า จนถึงวันนี้แฟนบอลคงรู้จักชื่อเสียงของเขาในฐานะกองหน้าดาวรุ่งของทีมชั้นนำไทยลีกอย่างทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ด้วยลีลาการสังหารประตูที่เฉียบคม จนถูกจับตามองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์หน้าตัวความหวังของทีมชาติไทยในอนาคตอีกด้วย

            

“ผมเป็นคนจังหวัดตาก โตมาในครอบครัวที่ถือว่าลำบากเลยครับ พ่อแม่ผมทำงานรับจ้างก่อสร้าง ตั้งแต่เด็กต้องไปช่วยแม่ทำงานก่อสร้างบ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก คอยเก็บเศษเหล็กเศษต่างๆ เอาไปขาย แต่งานก่อสร้างไม่ได้มีตลอดปี ช่วงไหนไม่มีงานก็ไม่มีเงิน ก็ต้องไปหาของป่ามากินประทังชีวิต” ณัฐวุฒิระลึกความหลังในวัยเด็ก

            

เขายังจำได้ดีถึงฟุตบอลลูกแรกของตัวเอง มันเป็นฟุตบอลหนังลูกเล็กๆ แถมมากับผงซักฟอกที่แม่ซื้อมา 

            

“แม่ซื้อบรีส ได้ของแถมเป็นลูกฟุตบอล ผมก็เอามาเตะเล่นคนเดียว แม่บังคับผมมากๆ ไม่ให้ออกจากบ้านเลย ตอนนั้นยังไม่รู้จักฟุตบอลจริงๆ จังๆ นะครับ แค่เตะเล่น แต่พอเตะแล้วมันพังก็อยากมีบอลใหม่ แม่ไม่ยอมซื้อให้ พอดีบ้านญาติฝั่งตรงข้ามเขาซื้อบอลพลาสติกมาให้ลูกเล่น น้องเขาไม่เล่นเพราะยังเด็กอยู่ ผมก็ไปขอมาเตะเล่น”

            

ณัฐวุฒิเล่าว่าเมื่อเขาเข้าโรงเรียนก็มีโอกาสได้เล่นฟุตบอลและฟุตซอลกับเพื่อนๆ แต่เมื่อกลับมาบ้าน เขายังเตะฟุตบอลคนเดียวจนถึงชั้น ป.5-ป.6

            

“ตอนเด็กชอบเล่นฟุตบอลคนเดียว มันมีความสุขครับ รู้สึกอิสระ ไม่ต้องคิดอะไร ช่วงนั้นได้ดูทีวีถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอล แล้วแถวบ้านก็มีแข่ง ผมเลยรู้สึกแบบ...สักวันหนึ่งผมอยากเป็นนักฟุตบอล”

            

เมื่อณัฐวุฒิเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนสามเงาวิทยาคม ฝีเท้าการเล่นฟุตซอลของเขาโดดเด่นจนมีโอกาสติดทีมจังหวัด ไปแข่งขันรายการกีฬานักเรียน-นักศึกษาแห่งชาติ

            

กระทั่งต่อมาเมื่อญาติคนหนึ่งมาแจ้งข่าวกับเขาว่า โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีที่กรุงเทพฯ กำลังเปิดคัดตัวนักกีฬา หากผ่านการทดสอบจะได้เข้าเรียนฟรี มีหอพักและอาหารเย็นให้ด้วย

            

“ผมไม่ลังเลเลยครับ ผมอยากจะไป ถ้าอยู่ที่บ้านผมไม่ชอบเวลาพ่อแม่กินเหล้าแล้วทะเลาะกัน พวกชาวบ้านเขามักต่อว่า ผมไม่อยากให้ใครว่าพ่อกับแม่ ผมเลยอยากถีบตัวเองไปสร้างอนาคตให้มันดี อยากทำเพื่อครอบครัว ถ้าอยู่ที่เดิมผมคิดว่าไม่มีอะไรดีขึ้นครับ มีแต่จะลำบากอย่างนี้ไปตลอด จึงตั้งใจอยากไปเป็นนักฟุตบอล อยากติดทีมชาติด้วย เป้าหมายอย่างหนึ่งของผมคืออยากมีเงินมาสร้างบ้านให้พ่อกับแม่ ให้พวกเขาสบายขึ้น”

            

แล้วเขาก็คว้าโอกาสนั้นไว้สำเร็จ ได้เข้ามาศึกษาในชั้นมัธยมปลายพร้อมเล่นฟุตซอลและฟุตบอลที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี อย่างไรก็ตามสำหรับเด็กต่างจังหวัดที่ต้องจากบ้านมาไกล เขาต้องผ่านช่วงยากลำบากของการปรับตัวกับชีวิตใหม่และเพื่อนใหม่ๆ

            

“คิดถึงบ้านก็คิดถึงอยู่แล้วครับ แต่ผมไม่คิดอยากกลับไปเลย เหมือนเราตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าไปให้สุด การกลับบ้านเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าคิดถึงพ่อแม่ก็โทรหา แต่ผมมองไปที่อนาคตมากกว่า เราค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน โค้ชให้ซ้อมทุกวัน การเล่นฟุตบอลเป็นความสุขของผมอยู่แล้ว ก็ไม่ได้ลำบากอะไร แต่การไม่มีเงินมันลำบากกว่า”

            

การเล่นฟุตบอลด้วยความสุข น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ณัฐวุฒิสามารถพัฒนาฝีเท้า และทำผลงานได้ดีเมื่อติดทีมโรงเรียนไปแข่งขันฟุตบอลนักเรียนรายการต่างๆ จนทำให้เขาถูกดึงตัวเข้าสู่อะคาเดมีของสโมสรแบงค็อก ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นพันธมิตรกับโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี

            

เส้นทางสู่เป้าหมายชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ เมื่อเขาเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก็ได้เซ็นสัญญานักฟุตบอลอาชีพฉบับแรกกับแบงค็อก ยูไนเต็ด ถูกใส่ชื่อในทีมชุดบี ลงแข่งในศึกยูโร่ เค้ก ลีก 2017 หรือ T4 แล้วเริ่มทำประตูอย่างต่อเนื่อง สร้างผลงานเข้าตาโค้ชมาโน โพลกิ้ง จนดึงตัวขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่เป็นประจำ

            

จนกระทั่งปี 2019 สโมสรต้นสังกัดได้ส่งตัวณัฐวุฒิไปเรียนรู้ฟุตบอลที่ญี่ปุ่น โดยลงเล่นให้กับทีมเอฟซี โตเกียว ชุด 23 ปี ในเจลีก 3 ด้วยสัญญายืมตัวเป็นเวลา 1 ปี

            

นั่นหมายความว่า คราวนี้เด็กหนุ่มจากอำเภอสามเงาต้องเดินทางไกลไปอยู่ตัวคนเดียวในต่างแดน ท่ามกลางผู้คนต่างภาษา อีกทั้งระบบการเล่นฟุตบอลที่หนักหน่วงเข้มข้นกว่าที่เคยพบ

            

“ผมต้องปรับตัวหนักเลย เพราะเราไปต่างประเทศ รอบข้างไม่มีคนไทยที่เราจะปรึกษาได้เวลามีเรื่องอะไร ซึ่งถ้าโทรหาพ่อแม่อาจทำให้เขาลำบากใจ ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมมีปัญหา ผมก็จะเก็บไว้ เวลากลับมาห้องพักก็จะเหงาบ้าง”

            

“ส่วนเรื่องการเล่นฟุตบอล ระบบการซ้อมของไทยและญี่ปุ่นไม่ต่างกันครับ แต่ความหนักหน่วงในการซ้อมต่างกันมาก คือเขาเล่นเพรสซิ่ง เล่นหนัก เข้าเร็ว ไม่มีเวลาคิด ถ้าเราเหนื่อยง่าย ก็โดนเขาขู่ เขาบีบเราแน่ ซึ่งเราก็ต้องเร่งพัฒนาตัวเอง ช่วงแรกผมโดนให้ซ้อมต่อคนเดียวทุกวัน เพื่อให้มีความฟิตใกล้เคียงเพื่อนร่วมทีมให้ได้”

            

“นักฟุตบอลญี่ปุ่นอาจมองว่าเรามีระดับต่ำกว่าเขา เวลาเราเล่นเสีย เขาจะมีปฏิกิริยาทั้งสายตา ทั้งคำพูด ถึงเราฟังไม่ออกแต่ก็รู้สึกได้ ผมไม่กดดัน แต่ก็รู้สึกล้มเหลว เวลาเขาเล่นเสีย เราไม่เคยว่า เวลาเราเสีย เขาว่าเรา แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้คิดว่า เราต้องทำให้ดีกว่าเดิม จนกว่าเขาจะยอมรับ...”

            

“เวลาที่ท้อ ผมจะนึกถึงเป้าหมายในอนาคต ถ้าเรื่องแค่นี้เราผ่านมันไม่ได้ ชีวิตเราจะสู้กับอะไรไม่ได้เลย ผมก็เลยมองว่ามันเป็นอุปสรรคที่เราต้องผ่านมันไป แล้วอนาคตจะรอเราอยู่ เราจะไปถึงความฝันของเรา คือทำให้พ่อแม่สบาย คิดอย่างนี้แล้วผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักของเราไป”

            

ณัฐวุฒิเล่าว่า เขาใช้เวลาปรับตัวราว 6 เดือน กว่าจะพัฒนาฝีเท้าจนกระทั่งเพื่อนร่วมทีมและโค้ชยอมรับ แล้วยิงประตูแรกได้ในช่วงเดือนที่ 9 ก่อนปิดฤดูกาลที่ญี่ปุ่นด้วยผลงานลงสนาม 16 นัด เป็นตัวจริง 7 นัด ตัวสำรอง 9 นัด และยิงได้ 3 ประตู

            

“ประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นมีค่ามากครับ เพราะเราได้เรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน แล้วก็เรื่องทัศนคติของนักฟุตบอลญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องวินัยสูงมาก ตรงต่อเวลา รับผิดชอบต่อหน้าที่ แม้แต่นักเตะซุปเปอร์สตาร์ก็มาสนามซ้อมก่อนเวลา แล้วเขาจะพยายามรักษาตำแหน่งในทีมไม่ให้ใครมาแย่งได้เลย”

           

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาที่เขาจะนำประสบการณ์ล้ำค่าจากญี่ปุ่น กลับมาโลดแล่นในประเทศบ้านเกิด

            

หลังกลับจากญี่ปุ่น ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะทีมชุดใหญ่ของแบงค็อก ยูไนเต็ด ลงแข่งขันในฟุตบอลไทยลีก 2020/21 อย่างเต็มตัวเป็นฤดูกาลแรก โดยกองหน้าวัย 23 ปีทำประตูในไทยลีกได้ 12 ประตู ส่งเจ้าตัวขึ้นชั้นเป็นดาวเด่นที่แฟนบอลจับตามอง พร้อมเสียงชื่นชมว่าเป็นดาวยิงที่จบสกอร์ได้ดี และเก่งในการวิ่งหาพื้นที่ว่างเพื่อยิงประตู

            

“ผมชอบยิงประตูด้วยลูกกลางอากาศ แล้วก็ชอบชิงจังหวะเล่นกับกองหลังคู่แข่ง แต่ผมไม่ใช่กองหน้าตัวใหญ่ ผมเก็บบอลไม่เก่ง ไปพิงกับกองหลังตัวใหญ่ก็เสียเปรียบ แต่ผมเอาชนะด้วยการวิ่ง สไตล์ผมไม่เก็บบอลนาน จับบอลหนึ่ง-สองจังหวะ ผมให้บอล แล้ววิ่งตัวเปล่าครับ วิ่งทำทาง วิ่งให้เพื่อนเล่นง่าย ไม่ได้มองว่าจะวิ่งเพื่อทำประตูเอง แต่วิ่งเพื่อดึงกองหลัง แล้วเพื่อนที่มีบอลจะส่งให้ผมก็ได้ หรือจะเลี้ยงไปยิงเองก็ได้ ผมทำงานหนักในมุมนี้ครับ” ณัฐวุฒิพูดถึงสไตล์การเล่นของตัวเอง

            

“ถึงแม้ในทีมจะมีกองหน้าต่างชาติฝีเท้าดี แต่ผมมองว่าผมไม่ได้จะต้องเป็นตัวจริงตลอด ผมแค่อยากมีส่วนร่วมกับทีม จะลงเป็นตัวจริงก็ได้ เป็นตัวสำรองก็ได้ ผมพร้อมจะเป็นอะไหล่คอยช่วยทีมครับ อยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เยอะๆ และพัฒนาทุกด้านในการเล่นกองหน้า ทั้งเรื่องการจบสกอร์ที่สำคัญมาก การเล่นร่วมกับทีม และความฟิตของร่างกายเพื่อสู้กับกองหลังต่างชาติ”

            

กล่าวได้ว่าหลังกลับจากญี่ปุ่น นับเป็นช่วงเวลาที่ดีในชีวิตของณัฐวุฒิ ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ไล่เลี่ยกับที่ภรรยาเขาเพิ่งให้กำเนิดลูกชายคนแรก ณัฐวุฒิก็มีชื่อติดทีมชาติไทยชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในรายการอุ่นเครื่องพบกับทีมไทยลีก ออลสตาร์ 

            

จนมาถึงปีนี้ เขาถูกเลือกโดยโค้ชอากิระ นิชิโนะ อีกครั้ง มีรายชื่อเข้าแคมป์เก็บตัว เพื่อคัดตัวไปแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย ที่ประเทศยูเออี ในเดือนมิถุนายน 2564

            

“การติดทีมชาติไทยคือความฝันสูงสุดของผมแล้ว มันคือเกียรติยศสูงสุดของนักฟุตบอล ตอนติดทีมชาติครั้งแรกผมดีใจมากๆ ครับ ดีใจจนอธิบายไม่ถูก บอกพ่อแม่...เขาดีใจจนร้องไห้” ณัฐวุฒิเผยความรู้สึก 

            

“ส่วนการติดทีมชาติครั้งนี้ ผมตั้งใจไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับรุ่นพี่ที่เขาเก่งๆ เพื่อพัฒนาตัวเอง แล้วนำความรู้สึกในทีมชาติมาต่อยอดว่าเราต้องพยายามให้กลับมาติดทีมชาติในอนาคต เพื่อที่จะได้มีความสุขอย่างนี้อีก เรื่องจะได้ไปยูเออีหรือเปล่า ผมขอทำเต็มที่ก่อน ถ้าเราเต็มที่แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจครับ สุดท้ายจะติดหรือไม่อยู่ที่โค้ชเป็นคนเลือก”

            

ณัฐวุฒิรู้ดีว่าเส้นทางในอาชีพนักฟุตบอลของเขายังอีกยาวไกล เขาย้ำว่าอยากจะกลับมาติดทีมชาติอีกหลายๆ ครั้ง และยังอยากพิสูจน์ตัวเองในเวทีไทยลีก สร้างผลงานให้ทีมต้นสังกัดประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ โดยยังไม่ลืมเป้าหมายสำคัญที่ทำให้พ่อแม่มีชีวิตที่ดีขึ้น เขากำลังเก็บเงินเพื่อสร้างบ้านใหม่ให้พ่อแม่อยู่

           

“ฟุตบอลคือทุกสิ่งทุกอย่างของผมเลยครับ ให้ความสุขผม ให้ชีวิตที่ดีแก่ผม เป็นเพื่อนที่ดีของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมมีทุกวันนี้ได้เพราะฟุตบอล ดังนั้นเวลาลงเล่นผมเต็มที่อยู่แล้วครับ มันคืออาชีพด้วย และคือสิ่งที่ผมรัก จะมาเหยาะแหยะไม่ได้ แล้วถ้ามีโอกาส ผมก็อยากส่งต่อให้รุ่นน้อง...”

            

ณัฐวุฒิบอกว่า “เวลามีรุ่นน้องทักมาขอปรึกษาเรื่องอยากเป็นนักฟุตบอล ผมตอบหมดทุกคน ไม่เคยไม่ตอบใคร จะบอกเขาว่า ขอให้อดทน ทำงานให้หนัก จะได้เล่นหรือไม่ได้เล่นไม่เป็นไร สักวันหนึ่งผลจะส่งกลับมาเอง ถ้าเราทำงานหนักพอครับ”


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

โฆษณา