1 พฤษภาคม 2564
เหลือเวลาอีกราวๆ หนึ่งเดือนเศษเท่านั้น ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่แฟนบอลไทยทุกคนรอคอยกับศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 ที่ทัพ “ช้างศึก” ของเราเหลือโปรแกรมการแข่งขันตกค้างอีก 3 นัดด้วยกัน
เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อ และลุกลามไปทั่วทุกมุมโลก เพื่อความปลอดภัยของทุกๆ คน ทำให้ทาง สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ เอเอฟซี ต้องตัดสินใจออกมายืนยันเรื่องสนามแข่งขันในแต่ละกลุ่มอย่างเป็นทางการ ซึ่งกลุ่ม G ที่มีทีมชาติไทย จะโยกไปแข่งที่สนามกลาง ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
แน่นอนว่านี่คือเงื่อนไขที่ดูเหมือนจะลดทอนความได้เปรียบของเราอยู่พอสมควร หากแต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งจะเห็นว่า ในเมื่อทีมคู่แข่งอื่นๆ ต่างก็ต้องลงเล่นด้วยเงื่อนไขนี้เช่นกัน ฉะนั้น สิ่งที่เราควรจะโฟกัสต่อไปนั่นคือ การลงมือทำงานให้หนัก และทุ่มทั้งแรงกาย และแรงใจเพื่อให้ทีมชาติไทยได้ก้าวต่อไปในการแข่งขันรอบที่ 3 ทีเปรียบเสมือนเวทีโชว์ตัวของ 12 ทีมที่ดีที่สุดในเอเชีย
จาก 47 ผู้เล่นที่ อากิระ นิชิโนะ เลือกเข้ามาติดธงในครั้งนี้ แน่นอนว่าจะมีเพียงแค่ 25 คนเท่านั้นที่ได้เดินทางไปยัง ยูเออี ท่ามกลางเป้าหมายของการเก็บ 3 คะแนนในแต่ละนัด เพื่อพาทีมชาติไทยเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายให้ได้ แน่นอนว่า 25 ขุนพลทัพ “ช้างศึก” ชุดนี้ จะต้องเป็นนักเตะที่ นิชิโนะ หมายมั่นปั้นมือ และคาดหวังในฝีเท้ามากพอสมควร
ท่ามกลางกลุ่มนักเตะที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย วันนี้เราจะมาโฟกัสกลุ่มนักเตะสายเลือดใหม่ที่แม้ว่าอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในเวทีระดับทีมชาติ หากแต่ด้วยผลงานส่วนตัวของพวกเขาในซีซั่นที่ผ่านมาต้องบอกเลยว่า น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง และหลายๆ คนยังเชื่อว่า คงไม่มีจังหวะไหนที่จะเหมาะสมไปกว่า การเรียกทั้งสามผู้เล่นนี้ไปลุยศึกคัดบอลโลกที่ ยูเออี ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ !!!
เด็กหนุ่มสู้ชีวิตจาก จ.ตาก ผู้ตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง และครอบครัวด้วยความรักในฟุตบอล จนสามารถก้าวมาเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในเวทีไทยลีก ซีซั่นที่ผ่านมา และ 12 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์ นั้นก็พอจะบอกได้ถึง “คุณภาพ” ของเพชรเม็ดงามจากรั้ว ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ได้เป็นอย่างดี
“ความครบเครื่อง” ทั้งการจบสกอร์ ลูกกลางอากาศ และความเร็ว คือสิ่งที่หาได้ยากในศูนย์หน้าไทยยุคปัจจุบัน หากแต่ทั้งหมดนี้มีอยู่ในตัวของ ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม บวกกับสถานการณ์ที่ ธีรศิลป์ แดงดา ตัดสินใจถอนตัวออกจากทีมไปด้วยอาการบาดเจ็บ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ชื่อของ “เจ้าเบียว” จะอยู่ในลิสต์ 25 คนสุดท้ายของ อากิระ นิชิโนะ อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากการจบสกอร์ที่คมกริบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติแรกที่ นิชิโนะ ต้องการแล้ว สิ่งที่ ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม ยังแตกต่างออกไปก็คือ เขาคือกองหน้าที่มีคุณสมบัติของการ “เล่นเพื่อทีม” โดยเฉพาะจังหวะที่รู้ว่าต้องจ่าย หรือจบ ที่ทำได้อย่างไหลลื่นไม่มีลังเลใจ บวกกับความยืดหยุ่นในเรื่องตำแหน่งการเล่นที่ไม่ว่าจะถูกจับไปยืนด้านข้าง หรือต้องถอยต่ำลงมาล้วงบอล เจ้าตัวก็ยังทำได้อย่างไม่เคอะเขิน นี่คือสิ่งที่จะช่วยให้ อากิระ นิชิโนะ มีออปชั่นในเรื่องของการปรับแทคติกหน้างานมากยิ่งขึ้น
แม้จะมีบางเสียบอกว่า ยังเร็วไปที่จะฝากความหวังการทำประตูไว้กับ ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม แต่ถ้าในมุมมองของผม ผมยังเชื่อมั่นใจวลีที่ว่า “ถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ” และนี่คือเวลาสำคัญที่เราจะต้องให้ความมั่นใจ และเชื่อมั่นในตัวของ “เจ้าเบียว” กับบทบาทศูนย์หน้าทีมชาติไทยชุดใหญ่สักที !!!
ด้วยสถิติลงสนาม 2,270 นาทีจาก 27 นัด บวกกับ 1 ประตู และ 2 แอสซิสต์ ว่ากันว่านี่คือนักเตะที่ “คู่ควร” กับสีเสื้อทีมชาติไทย ชุดปัจจุบันมากที่สุด เพราะในแง่ของผลงาน คงไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับวิงแบ็กฝั่งขวาที่มีโทรฟี่แชมป์ไทยลีก 2020/2021 เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพได้เป็นอย่างดี และเชื่อได้เลยว่า ณ เวลานี้ คงไม่มีแฟนบอลไทยคนไหนที่ไม่รู้จักชื่อของ “สันติภาพ จันทร์หง่อม”
หากเราวิเคราะห์สไตล์การเล่นของ สันติภาพ ในแง่ของ “ความรู้สึก” ก็น่าจะนิยามได้ว่า เขาคือนักเตะที่ค่อนข้างจะเปี่ยมไปด้วยพลังงาน หรือภาษาง่ายๆ นั่นก็คือ “บ้าพลัง” ด้วยการเติมเกมแบบขึ้นสุดลงสุดอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย นี่คือ “จุดแข็ง” ที่ตอบโจทย์การเป็นคุณสมบัติที่ดีของวิงแบ็กฟุตบอลสมัยใหม่ที่จำเป็นต้องครบเครื่องทั้งเกมรุก และเกมรับ
แต่เจ้าเก้งนั้นมีดีเกินกว่าที่จะบรรยายด้วย “ความรู้สึก” แต่เพียงอย่างเดียว เพราะอย่าลืมว่า เขานี่แหละคือนักเตะที่วิ่งเยอะมากที่สุดของทัพ “เดอะ แรบบิท” ในศึกโตโยต้า ไทยลีก เลกแรก โดยเจ้าตัววิ่งไปถึง 138.2 กิโลเมตร รวมถึงการเป็นเจ้าของสถิติแย่งบอลจากคู่แข่งได้มากที่สุดในลีก (เลกแรก) โดยวิงแบ็ควัย 24 ปีรายนี้ แย่งบอลสำเร็จมากถึง 46 ครั้ง ตลอดการลงเล่น 15 เกมในเลกแรก
นี่ยังไม่นับประสิทธิภาพของลูกครอสริมเส้นที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย บวกกับความฟิตระดับพลังไดนาโม เชื่อได้เลยว่า หากจะต้องเลือกใครสักคนในฐานะคนที่ “เหมาะสม” กับพื้นที่ฝั่งขวาของทีมชาติไทยชุดนี้ แน่นอนว่าชื่อของ สันติภาพ จันทร์หง่อม คือคำตอบของโจทย์ข้อนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
จากนักเตะพเนจรที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับทีมในไทยลีกมากมาย สู่การเป็นวิงแบ็กตัวหลักของ สมุทรปราการ ซิตี้ ด้วยตัวเลขการลงสนามถึง 30 นัด 2,632 นาที และทำไป 1 แอสซิสต์ จนทำให้ เอร์เนสโต้ ภูมิภา ดาวเตะลูกครึ่งไทย-สแปนิช กลายเป็นหนึ่งใน 47 แข้งที่ได้รับความไว้วางใจจาก อากิระ นิชิโนะ ทันที
ด้วยอายุที่เพิ่งจะเข้าสู่เลข 3 หากแต่นี่คงเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น เพราะด้วยประสบการณ์ของเจ้าตัวกับการได้ผ่านสังเวียนลูกหนังระดับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, อาร์มี่ ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด หรือแม้แต่ การท่าเรือ เอฟซี สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ เอร์เนสโต้ ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดคนหนึ่งในลีกได้อย่างภาคภูมิ และแน่นอนว่านี่คือโอกาสอันดีที่เจ้าตัวจะได้พิสูจน์ตัวเองในแคมป์ทีมชาติ เพื่อพิชิตตั๋วลุยสู่ ยูเออี ให้ได้
เอร์เนสโต้ เป็นวิงแบ็กที่เต็มไปด้วยความเร็ว และมีรูปแบบการเติมเกมรุกที่น่าสนใจมากๆ แน่นอนว่าการเดินทางไปลงเล่นเวทีระดับฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก อาจจะต้องเน้นความรัดกุมในพื้นที่ด้านข้างเป็นพิเศษ แต่เชื่อได้ว่าหากทัพ “ช้างศึก” ต้องการใครสักคนที่ลงมาขึ้นเกมทางฝั่งซ้าย และโยก ธีราทร ไปปักเป็นมิดฟิลด์ เพื่อเปิดหน้าลุยเอาประตูเต็มสูบ เชื่อได้เลยว่า เอร์เนสโต้ ภูมิภา จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และเป็นไปได้ว่า อากิระ นิชิโนะ อาจจะหนีบออปชั่นนี้ติดไปลุยยังดินแดนตะวันออกกลางก็เป็นได้
สำหรับ ทีมชาติไทย จะเดินทางไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ในวันที่ 21 พฤษภาคม และมีโปรแกรมอุ่นเครื่อง 2 นัด พบกับ โอมาน ในวันที่ 25 พฤษภาคม และพบกับ ทาจิกิสถาน วันที่ 29 พฤษภาคม ก่อนทำการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2
โปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทย
วันที่ 3 มิถุนายน 2564
- ทีมชาติไทย พบ อินโดนีเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตูม
วันที่ 7 มิถุนายน 2564
- ยูเออี พบ ทีมชาติไทย เวลา 23.45 น. ณ สนามซาบีล
วันที่ 15 มิถุนายน 2564
- ทีมชาติไทย พบ มาเลเซีย เวลา 23.45 น. ณ สนามอัล มัคตู
TAG ที่เกี่ยวข้อง