29 เมษายน 2564
เมื่อวานนี้คู่แข่งของทีมชาติไทยอย่างทีมชาติอินโดนีเซียได้มีการประกาศ 34 ขุนพลที่นายใหญ่อย่าง ชิน แท ยอง จะหอบไปใช้ที่ยูเออีในเกมคัดบอลโลกที่เหลือของพวกเขา (อาจไม่ได้ยกไปทั้งหมดเลยทั้ง 34 คนแต่ตามข่าวที่ออกมาอย่างน้อย 25 คนในนี้จะได้โยกก้นไปยูเออีแน่ๆ) ซึ่งการประกาศรายชื่อครั้งนี้สร้างคำถามมากมายในสื่อสังคมออนไลน์ของอินโดฯ บวกกับเสียงวิจารณ์จากบรรดาแฟนบอลอิเหนาชนิด “พร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย”
เหตุที่มันเป็นอย่างนั้นเพราะบรรดารายชื่อที่โค้ชชาวเกาหลีใต้หยิบมามีนักเตะเพียงแค่สองรายเท่านั้นที่เคยรับใช้ทีมชุดใหญ่มาแล้วเกิน 5 นัด (ยานโต บาสนา กองหลังจากพีที ประจวบ เอฟซี และอีวาน ดิมาส กองกลางจากบายังคาร่า) พูดง่ายๆ การูด้าภายใต้การนำของ ชิน แท ยอง หนนี้เล่นพลิกโฉมเปิดตัวมาแบบ “ออลนิวการูด้า” ยังไงหยั่งงั้นเลยก็ว่าได้
อีกหนึ่งจุดโฟกัสที่สื่อท้องถิ่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันคือมีนักเตะเพียง 8 คนเท่านั้นที่มีอายุเกิน 23 ปี แถมส่วนใหญ่เป็นนักเตะที่เล่นอยู่ในตำแหน่งกองกลาง และที่สำคัญในตำแหน่งผู้รักษาประตูนั้นไม่เคยมีใครเคยเล่นทีมชุดใหญ่มาก่อนเลย
“แปลกใจมั้ยล่ะ?”
ขอวิจาร์ณตามเนื้อผ้าจากเท่าที่ได้ติดตามข่าวจากทางฝั่งอินโดฯมาเป็นระยะๆ บวกกับการได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนชาวอินโดนีเซียกลุ่มสองกลุ่มพอจะจับใจความได้ว่าการที่หน้าตาของทีมชุดใหญ่ของทัพการูด้าหนนี้มีหน้าตาออกมาแบบนี้ สาเหตุหลักๆมันน่าจะมาจากปรัชญาการทำทีมของโค้ชชาวเกาหลีใต้ที่ต้องการใช้แต่นักเตะที่ฟิตเต็มถังและสามารถวิ่งได้ตลอด 90 นาทีแบบไม่มีหมด ผนวชกับโค้ชชิน แท ยองเองค่อนข้างให้ความสำคัญอย่างมากกับนักเตะที่เล่นอยู่ต่างแดน ซึ่งเขามักพูดอยู่บ่อยๆว่านักเตะที่ค้าแข้งยังต่างแดนจะเป็นตัวเลือกลำดับแรกๆ
ข้อสนับสนุนเห็นได้ชัดจากการเรียก 7 นักเตะซึ่งค้าแข้งในต่างแดน ซึ่งแม้หลายคนจะเล่นอยู่ในลีกรองของที่นั่น แถมบางคนยังไม่เคยได้มีโอกาสลงสนามเลยด้วยซ้ำแต่พวกเขากลับมีรายชื่อเข้ามาเสียบแทนบรรดารุ่นพี่ที่เป็นตัวจริงที่เล่นอยู่ในลีกภายในประเทศและทีมชาติ
ทีนี้มาลองวิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่ยูเออีในเกมแรกระหว่างเรากับเขากันบ้าง ผมคิดว่าความน่ากลัวของทีมอินโดนีเซียชุดใหม่นี้มีอยู่ด้วยกันสองเรื่อง
เรื่องแรกคือนักเตะเขาน่าจะสดกว่าเราในขณะที่ความกระหายก็น่าจะมีมากกว่า
เพราะด้วยอายุเฉลี่ยของทีมอินโดฯชุดนี้ที่อยู่ที่ 22 ปีเท่านั้น ประกอบกับเกือบยกทีมเป็นนักเตะที่ไม่เคยติดทีมชุดใหญ่มาก่อน พวกเขาย่อมกระสันและคงอยาก “ปล่อยของ” กันทุกคน
อีกเรื่องที่จะมองข้ามไม่ได้สำหรับไทยคือ “รู้เราแต่ไม่รู้เขา”
ด้วยความที่อินโดฯเล่นเปลี่ยนทีมแบบล้างไพ่เลยแบบนี้ทำให้เราแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเลย ทั้งระบบการเล่น, สไตล์ของนักเตะแต่ละคน และรวมไปถึงเรื่องสำคัญอย่าง 11 ตัวจริงที่จะถูกส่งลงสนาม ทั้งหมดคือความว่างเปล่าในหัวของทีมงานเรา ในขณะที่ทีมงานอินโดฯเองคงสเก๊าท์เราไปหมดแบบทุกอณูจากข้อมูลที่พวกเขามีและจากบรรดาเทปบันทึกการแข่งขันเก่าๆ และนั่นคือข้อได้เปรียบอีกข้อของเขา
พูดมาถึงตอนนี้หลายคนคงแอบคิดในใจว่า “เอาแล้วไง..พี่ไทยเจองานยากเข้าให้แล้ว”
“ก็ไม่เชิง” ผมมองว่าการเปลี่ยนทีมแบบยกชุดมันเหมือนดาบสองคมที่คาดเดาผลลัพธ์ได้ลำบาก
อย่าลืมว่านักเตะรุ่นๆ ซ้ำยังไม่มีประสบการณ์ในนามทีมชุดใหญ่ในเกมอย่างเป็นทางการ แม้ใครจะบอกว่านี่เป็นเกมที่ความกดดันน่าจะอยู่ฝั่งไทยมากกว่าเพราะต้องการสามแต้มเท่านั้น แต่ผมก็คิดว่าเรื่องประสบการ์ณในการตัดสินใจในจังหวะทีเด็ดทีขาดและการรับมือกับการเล่นที่ตะวันออกกลาง เรื่องพวกนี้นักเตะเราน่าจะ “เหนือกว่า”
และการที่โค้ชชิน แท ยองอัดแข้งตัวเก๋ามากมายในตำแหน่งกองกลาง รวมไปถึงการได้หนีบเอาสองดาวรุ่งอย่างซิญาเลียน อะบิมันยู มิดฟิลด์จากนิวคาสเซิล เจ็ทส์ทีมดังจากเอ-ลีก และวิธาน สุไลมาน กองกลางดาวรุ่งจากเอฟเค รัดนิก เซอร์ดูลิก้า สโมสรในลีกสูงสุดของเซอร์เบียเห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับการครอบครองบอลและการเคลื่อนที่ของลูกบอลในสนาม
สิ่งที่ไทยต้องระวังให้มากกับการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในสถานการ์ณแบบนี้ คือ “เราต้องไม่ประมาท” เพราะหากนักเตะไทยเกิดชะล่าใจและมัวแต่จะไปโฟกัสเอาแต่เกมกับยูเออีและมาเลย์เท่านั้น ผมว่าอินโดฯนี่แหละที่จะทำให้เราต้องน้ำตาตกในที่ดูไบอย่างไม่ต้องสงสัย
ใครจะพูดไงก็ช่างแต่สำหรับผม แมตช์ห้าดาวของทีมชาติไทยในสายตาของผมเองคือแมตช์แรกกับอินโดฯบนแผ่นดินตะวันออกกลางนี่แหละ เพราะมันคือการกลับมาเล่นในเกมอย่างเป็นทางการเกมแรกในรอบเกือบสองปีของทีมชาติไทยในอริยาบทที่เราต้องการสามแต้มจากคู่ต่อสู้ที่มาในโฉมใหม่ ซึ่งผมคิดว่าแฟนบอลไทยทุกคนน่าจะตั้งตารอดูแมตช์ที่ว่านี้กันทุกคน (หากไม่ติดอะไร)
การรอคอยที่แสนยาวนานของการได้ชมและได้เชียร์ทีมชาติไทยอีกครั้งจะสิ้นสุดลงบนสมรภูมิแห่งทะเลทรายในดินแดนอาหรับ แล้วเราจะได้รู้กันเสียทีว่าศึกไอยรา-การูด้าหนนี้ ใครล่ะจะเป็นผู้มีชัย? และช้างศึกจะได้สามแต้มดั่งที่หวังกันไว้หรือไม่?..อีกเดือนเดียวได้รู้กัน!
TAG ที่เกี่ยวข้อง