stadium

สันติภาพ จันทร์หง่อม "ขอบคุณโรคหอบหืดที่ทำให้ผมพยายามมากกว่าคนอื่น"

25 เมษายน 2564

สันติภาพ จันทร์หง่อม

"ขอบคุณโรคหอบหืดที่ทำให้ผมต้องพยายามมากกว่าคนอื่น"

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand
#ChangsuekAttitude

            

เบื้องหลังความสำเร็จครั้งใหญ่ของทีมบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์ไทยลีกฤดูกาล 2020-21 ไปครอง ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคงจะได้แก่ คุณภาพยอดเยี่ยมของนักเตะทุกตำแหน่งในทีม ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู กองหลัง กองกลาง ไปถึงกองหน้า รวมทั้งนักเตะวัย 24 ปี อย่าง “เก้ง” สันติภาพ จันทร์หง่อม ซึ่งเพิ่งย้ายมาเข้าสังกัดทีม “กระต่ายแก้ว” ตอนต้นปี 2020 นักเตะหน้าใหม่อย่างเขาต้องผ่านช่วงเวลายากลำบากที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อนร่วมทีมและแฟนๆ ของสโมสรยอมรับในฝีเท้า กระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในตำแหน่งวิงแบ็กขวา ด้วยสไตล์การเล่นที่สู้ไม่ถอย ทุ่มเทเต็มที่ทุกนัด แล้วยิ่งถ้าใครได้รู้ความจริงที่ว่า ในวัยเด็กเก้งสุขภาพไม่แข็งแรงจากการเป็นโรคหอบหืดรุนแรง คงจะประหลาดใจปนทึ่งเมื่อเห็นภาพในสนามแข่งที่เขาวิ่งขึ้นสุดลงสุด รับผิดชอบเกมรับในแดนตนเอง ทั้งเติมเกมรุกขึ้นไปในแดนคู่แข่งด้วยแรงพลังที่เหมือนไม่มีหมด

            

สันติภาพเล่าว่าครอบครัวเขาเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ เขาย้ายตามพ่อแม่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ 

            

“ผมเป็นหอบหืดตั้งแต่เกิด เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เพราะญาติคนเฒ่าคนแก่ที่บ้านก็เป็นกันหลายคน นอนไอเกือบทุกคืน ต้องพ่นยา บางทีพักผ่อนไม่เพียงพอหรืออากาศเปลี่ยนนิดเดียวก็เป็นภูมิแพ้แล้ว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง โรคอื่นๆ ก็ตามมา ตั้งแต่ 1-5 ขวบ ผมต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก แล้วต้องไปใส่หน้ากากพ่นยาประมาณเดือนละ 2 ครั้ง”

            

พ่อสนับสนุนให้เก้งเล่นฟุตบอล หวังใช้การออกกำลังกายเป็นหนทางสู้กับโรคประจำตัว อีกทั้งรู้มาตลอดว่าลูกชายชอบเตะบอลมาตั้งแต่จำความได้ทั้งที่เป็นหอบหืด

            

“เราเตะบอลตั้งแต่อนุบาล 1 แล้ว พ่อพาเราไปเล่นบอลประมาณชั้น ป.1 คงอยากให้ผมหายจากโรคหอบหืด บวกกับเขาเห็นแววเราด้วยว่าวิ่งไวกว่าคนอื่น แต่ผมก็เหนื่อยง่ายกว่าเพื่อน เล่นไหวนะครับ แต่สัก 5-10 นาทีต้องหยุดพักแป๊บนึง ค่อยออกไปเล่นใหม่ แล้วก็มีสเปรย์ยาพกติดตัวตลอด”

            

“เพราะเราไม่อยากใช้ยา แต่อยากหายจากโรคด้วยการทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ไม่ได้หายปุ๊บปั๊บนะครับ ต้องใช้เวลา พอร่างกายเราเริ่มแข็งแรงขึ้น ช่วงหลังประมาณ 3-4 เดือนหอบหืดถึงจะกำเริบสักครั้ง ผมมาหายขาดตอนอายุประมาณ 8-9 ขวบ ไม่กลับมาเป็นอีกเลย แต่ด้วยความเป็นเด็กเราก็ไม่ดีใจเท่าไหร่ แต่สนุกกับการเล่นฟุตบอลมากกว่า”

            

สันติภาพรู้ตัวว่าชอบฟุตบอลมากตั้งแต่เล็ก ถึงกับตั้งเป้าว่าโตมาอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

            

“ในชั้นเรียนตอนอยู่ประถม ครูถามว่าอยากเป็นอะไร เพื่อนคนอื่นบอกพยาบาล ทหาร ตำรวจ แต่ผมบอกอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ทั้งห้องเขาหัวเราะกันหมดเลย อาชีพนี้มีด้วยเหรอ ตอนนั้นฟุตบอลอาชีพยังไม่ดัง ไม่มีอะไรเลย มีทีมดังไม่กี่ทีม แล้วก็ยังเป็นกึ่งอาชีพมากกว่า แต่เราก็ไม่โกรธเพื่อน ยังเด็กด้วย แต่ผมก็รู้ตัวเองว่าชอบเล่นฟุตบอลจริงๆ ทุกครั้งที่เตะฟุตบอล เรารู้สึกว่าสนุกมาก มีความสุขกับมัน ผมเล่นกีฬามาหลายอย่างนะ เช่น วิ่ง ตีแบด แต่ตอนหลังเราไม่เล่นกีฬาอื่นเลย มุ่งมั่นกับฟุตบอลอย่างเดียว”

            

แม้ขณะนั้นเขายังเป็นเด็ก แต่เมื่อรู้ใจตัวเองก็มุ่งมั่นเดินตามความฝันสู่เส้นทางฟุตบอล กระทั่งเรียนจบชั้นประถม สันติภาพก็ผ่านการคัดตัวเข้าเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาฟุตบอล ทำให้เขาได้บ่มเพาะศาสตร์ลูกหนังอย่างจริงจัง และมีประสบการณ์ร่วมแข่งขันทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลเยาวชนรายการต่างๆ เช่น ฟุตบอลกรมพละ ฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี รวมทั้งรายการระดับชาติ เช่น การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนั้นเก้งมีอายุ 14 ปี ถือว่าอายุน้อยที่สุดในทีมที่ทุกคนอายุ 15 ปี และสามารถไปคว้าแชมป์กลับมาได้

            

หลังจากนั้นก้าวไปติดทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ชุดชิงแชมป์เอเชียที่ประเทศเมียนมา ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ซึ่งทำให้สันติภาพได้พบจุดเปลี่ยนอีกครั้งในชีวิตนักฟุตบอล

            

“ความจริงผมเริ่มเล่นฟุตบอลตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าเลยนะ แต่เพราะตอนเด็กเราตัวเล็กมาก ถึงมีจุดเด่นเรื่องความเร็ว ก็คงกระโดดแย่งโหม่งกับคนอื่นลำบาก เลยถอยออกมาเล่นปีกขวาแทน ผมเปลี่ยนมาเล่นแบ็กตอนติดทีมนักเรียนไทย U19 เพราะโค้ชเตี้ยเห็นเราเล่นบอลได้ทั้งสองเท้า เลยจับเราเล่นแบ็กซ้ายบ้าง แบ็กขวาบ้าง แต่พี่เตี้ยเขาไม่หวงเกมรุกเลยนะ เขารู้เราเคยเล่นปีก เขาบอกมึงเล่นเกมรุกไปเลย ส่วนเกมรับเขามาสอนเรื่องการยืนตำแหน่ง หรือการดวลกับปีกคู่แข่งว่าต้องเล่นยังไง เช่น ถ้าปีกซ้ายคู่แข่งถนัดเท้าขวาจะตัดเข้าด้านใน แต่ถ้าถนัดเท้าซ้ายเขาจะกระชากไปเปิดบอล อะไรอย่างนี้”

            

“ผมเล่นเป็นปีกมาก่อน แล้วถอยมาเล่นแบ็ก ก็กลายเป็นว่าเราเป็นแบ็กที่เติมเกมเหมือนปีก วิ่งขึ้นสุดลงสุด” สันติภาพเล่าที่มาของสไตล์การเล่นแบบแบ็กจอมบุกที่แฟนบอลคุ้นตาทุกวันนี้

            

ภายหลังจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย สันติภาพได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับสโมสรบีอีซี-เทโร ศาสน ก่อนย้ายไปร่วมทีมแอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี ด้วยสัญญายืมตัวในฤดูกาล 2017 แล้วย้ายกลับต้นสังกัดซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นโปลิศ เทโร เอฟซี ในปีถัดมา กลายเป็นกำลังสำคัญช่วยทีมคว้ารองแชมป์ไทยลีก 2 ในฤดูกาล 2019 จากนั้นย้ายมาร่วมทีมบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2020

            

“ตอนย้ายมาบีจีก็กดดันครับ ในทีมมีนักเตะชื่อดังทั้งนั้น พี่ปีโป้ (สิโรจน์ ฉัตรทอง) ก็ย้ายมา พี่ตั๊ก (สุมัญญา ปุริสาย) ก็มา พี่นิว (ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์) กลับจากญี่ปุ่น แล้วยังมีคนที่อยู่เดิมอีก ส่วนผมย้ายมาแบบค่าตัวแพงพอสมควร แต่ยังเป็นนักเตะโนเนมของไทยลีก มีผลงานแค่ในลีกรอง พอเปิดลีกมาผลงานยังไม่เข้าที่ ก็เกิดคำถามจากแฟนบอลทำนองว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ซื้อเข้ามาได้ยังไง บางความเห็นบอกว่ามีตัวอื่นดีกว่าอีก แต่ผมเลือกจะเงียบ ไม่ตอบโต้เขา หันมาตั้งใจทำผลงานเพื่อให้เป็นคำพูดแทนเรา”

            

“ผมก็พยายามพัฒนาตัวเอง ซ้อมหนัก ลงเล่นโดยการทำเพื่อทีม เราต้องการพิสูจน์ให้แฟนบอลเห็นว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่สโมสรจ่ายให้ผมเป็นค่าตัว หรือเงินที่แฟนบอลซื้อตั๋วเข้ามาเชียร์ทีม จะไม่ให้เสียเปล่า ผมก็เลยทุ่มเททุกแมตช์ที่ได้ลงสนาม ใส่ให้สุดทุกลูก”

            

จากผลงานยอดเยี่ยมของบีจี ปทุม ยูไนเต็ด หลังเลื่อนชั้นจากไทยลีก 2 ขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดในปี 2020 ก็สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ไทยลีกครั้งแรกของสโมสรได้ทันที สันติภาพที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จครั้งนี้มองว่า

            

“ถ้าคนภายนอกมองเข้ามา ทีมเรามีซูเปอร์สตาร์เยอะนะครับ ต้องยกเครดิตให้พี่โอ่ง (โค้ชดุสิต เฉลิมแสน) ด้วยที่คุมอยู่ กลายเป็นว่านักเตะทุกคนเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน ช่วยกันเล่น ใครพลาดก็ไม่ด่ากัน แต่แนะนำกัน คือความสามัคคีในทีมดีมาก สปิริตของทีมดี ไม่มีใครมีอีโก้เลย”

            

“ส่วนบทบาทของผมนั้น เราช่วยสนับสนุนคนอื่นมากกว่า ถ้าดูจากผลงานในสนาม เราไม่ได้แอสซิสต์ให้เพื่อนทำประตูเยอะนะ แต่ว่าเราทุ่มเททุกแมตช์ที่ได้ลง พอเราเล่นเพื่อทีม มันก็ช่วยยกระดับผลงานส่วนตัวขึ้นมาได้เอง”

            

เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้างที่คว้าแชมป์ฟุตบอลไทยลีกครั้งแรกในชีวิต เจ้าตัวตอบว่า “ด้วยความเป็นนักฟุตบอล เราย่อมอยากได้โทรฟี่สักใบในชีวิต ผมได้แชมป์ไทยลีกครั้งนี้ตอนอายุ 24 ยังไม่ 25 ก็ภูมิใจนะ ตอนได้สัมผัสถ้วยแชมป์ ได้เหรียญมาห้อยคอ ผมรู้สึกหายเหนื่อยเลย ดีใจมาก แล้วก็ขอบคุณพ่อแม่ที่คอยสนับสนุน ถ้าไม่มีพวกท่าน เราจะมาถึงจุดนี้ได้ไหมก็ไม่รู้ แต่ผมขอมอบแชมป์ให้กับยายนะ ยายมีส่วนสำคัญมากที่คอยดูแลผมมาตลอดตั้งแต่เด็ก”

            

นอกจากความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพและคว้าแชมป์ร่วมกับสโมสรแล้ว สันติภาพยังมีอีกความฝันที่สำคัญสำหรับเขา คือการได้ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่

            

“นักฟุตบอลทุกคนอยากติดทีมชาติอยู่แล้ว เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลเรา แต่เหตุผลอีกอย่างคือ เราแบกความฝันของเพื่อนด้วย เพราะตอนเรียนอยู่คริสเตียน ผมสนิทกับเพื่อนมาก อยู่หอด้วยกันตลอด เราได้แลกเปลี่ยนกันว่าความฝันของมึงคืออะไรวะ ทุกคนฝันเหมือนกันหมดเลย อยากเป็นนักบอลอาชีพ มีเงินเดือนให้พ่อแม่ และติดทีมชาติ เพื่อจะได้เล่นทีมชาติกับมึงเว้ยเพื่อน... ถึงตอนนี้บางคนก็ไม่ถึงฝั่งฝันอย่างเรา บางคนเลิกเล่นฟุตบอลไปแล้ว มันขึ้นกับหลายๆ อย่าง เช่น โชคชะตา วินัย ความอดทน พอมาถึงจุดนี้ เราได้กลับไปเจอเพื่อน เพื่อนบอกว่ามึงต้องติดทีมชาติให้ได้นะ กูซับพอร์ตมึงนะ กูว่ามึงมีดีกว่านี้ เลยทำให้เรารู้สึกว่า เราติดทีมชาตินอกจากเพื่อตัวเอง เรายังทำเพื่อเพื่อนด้วย”

            

ล่าสุดในการประกาศรายชื่อนักฟุตบอล 47 คน เข้าแคมป์เก็บตัวทีมชาติในเดือนพฤกษภาคม เพื่อคัดตัวไปแข่งฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย ในเดือนมิถุนายน มีชื่อของ สันติภาพ จันทร์หง่อม ติดอยู่ในนั้นด้วย

            

“ตอนเจ้าหน้าที่ทีมชาติชื่อพี่ปันทักไลน์มาหาผม ขอพาสปอร์ต บัตรประชาชน แล้วบอกว่าเรามีรายชื่อเข้าแคมป์เก็บตัว โอ้โห ผมยังไม่เชื่อตัวเองเท่าไหร่เลย แต่พออีกสองสามวันมีรายชื่อประกาศออกมา ผมร้องไห้ น้ำตาไหลเลยนะ” เขาเผยความรู้สึกดีใจมาก

            

“ถึงที่สุดเราไม่รู้หรอกว่าจะผ่านการคัดตัวได้ไปยูเออีกับเขาไหม แต่เมื่อโอกาสเปิดให้เราแล้ว ผมอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าพร้อมจะเป็นตัวเลือก จึงตั้งใจจะทำผลงานให้ดีที่สุด และโฟกัสที่ผลงานจริงๆ ครับ ให้ผลงานในสนามตอบแทนว่าเราสมควรได้ไปยูเออีหรือเปล่า”

            

ถึงแม้วันนี้ความฝันหลายอย่างถูกเติมเต็ม แต่ชีวิตนักฟุตบอลของ สันติภาพ จันทร์หง่อม ยังคงทอดยาวไปอีกไกลสู่ความฝันใหม่ๆ ขณะเดียวกันการมองย้อนกลับไปข้างหลัง ก็ช่วยให้เขาได้ทบทวนตัวเองเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแน่วแน่มั่นคงยิ่งขึ้น

            

“พอหันกลับไปมอง เราเดินทางมาไกลมาก จากเด็กโรคหอบหืด ต้องต่อสู้แค่ไหนกว่าจะมาเป็นแชมป์ไทยลีก ลองคิดดูแล้วเราต้องขอบคุณร่างกายตัวเอง ขอบคุณโรคหอบหืดที่ทำให้ผมต้องพยายามมากกว่าคนอื่น เราต้องตระหนักว่า คนอื่นวิ่งร้อย เราต้องวิ่งสองร้อย เพราะต้องการหายจากโรคหอบด้วย กลายเป็นว่าเรามุ่งมั่นทุ่มเทกับการทำงานของตัวเองมากๆ รวมทั้งไม่แตะต้องอบายมุขต่างๆ ยิ่งบุหรี่นี่จบเลย ไม่แตะเด็ดขาด คนเป็นหอบถ้าดูดบุหรี่ก็ยิ่งอาการหนักกว่าเดิม”

            

นอกจากนั้นแบ็กจอมบุกรายนี้ยังเน้นย้ำอีกด้วยว่า “ผมเตือนตัวเองตลอดว่า ที่มาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะเราเก่ง เราแค่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น จึงต้องพยายามทำงานหนักเพื่อรักษาโอกาสเอาไว้ หรือถ้ามีโอกาสใหม่ๆ เปิดกว้างให้เราอีก ต้องพยายามไขว่คว้าไว้ให้ได้”


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

La Vie en Rose