stadium

ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ “ผมอยากพัฒนาฝีเท้าและทำผลงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”

18 เมษายน 2564

ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์

“ผมอยากพัฒนาฝีเท้าและทำผลงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand

            

ทีมชลบุรี เอฟซี ยุคใหม่ อาจมีคนเรียกพวกเขาว่า “ฉลามยังบลัด” ก็เพราะขุมกำลังหลายคนเป็นเด็กดาวรุ่งฝีเท้าดีที่เพิ่งถูกผลักดันขึ้นมาจากอะคาเดมีหมาดๆ ถึงแม้ช่วงท้ายฤดูกาลไทยลีก 2020 ทีมฉลามชลจะตกที่นั่งลำบากต้องดิ้นรนหนีตกชั้น ทว่าพวกเขาก็เอาตัวรอดสำเร็จ ไม่เท่านั้นยังพิสูจน์ตัวเองได้ในรายการฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ 2020 เมื่อสามารถพลิกล็อกล้มยักษ์ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในรอบรองชนะเลิศ เข้าไปชิงแชมป์กับทีมสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด แล้วสู้ได้อย่างไม่เป็นรอง โดยหนึ่งในขุนพลฉลามพลังหนุ่มที่ทำผลงานได้โดดเด่นในเกมนั้นก็คือ ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ ซึ่งเป็นผู้ทำประตูแรกให้ทีมอีกด้วย

            

ความเป็นมาของนักเตะหนุ่มวัย 19 ปี ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ หรือ “นาย” น่าสนใจตรงที่เขาใช้ฟุตบอลเป็นหนทางต่อสู้กับอุปสรรคสำคัญของชีวิตในวัยเด็ก

            

“ตอนเป็นเด็กอายุสามขวบผมเป็นโรคหอบหืด อาการหนักขนาดต้องใช้ยาพ่น หมอบอกว่าถ้าเล่นฟุตบอลอาจจะเสี่ยง แต่ถ้าเล่นแล้วดีขึ้นก็อาจหายขาด พ่อก็เลยให้ลองเล่นฟุตบอล” ฉัตรมงคลระลึกความหลัง

            

“ตอนไปเล่นบอลแรกๆ วิ่งไปแค่ 10 นาทีก็เหนื่อยจนแทบไม่ไหว มันก็ท้อครับ แต่ด้วยอยากเอาชนะโรคหอบหืด แล้วตอนนั้นชักเริ่มสนุกกับการเล่นบอล เล่นแล้วชอบ ก็พยายามฝืนเล่น มันก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ใช้เวลานานนะครับ ประมาณปีนึงถึงจะหายขาด ดีใจมากเลยครับ รู้สึกเหมือนปลดล็อก ทำให้เราไม่ต้องกังวลอีก”

            

จากการเล่นฟุตบอลเพื่อเอาชนะหอบหืด กลายเป็นความรักชอบ ฉัตรมงคลจึงเล่นฟุตบอลมาอย่างต่อเนื่อง จริงจังกับมันมากขึ้น จนได้เข้าไปร่วมแข่งฟุตบอลนักเรียนรายการต่างๆ กระทั่งเด็กชายได้พบ “จุดเปลี่ยน” ที่น่าสนใจอีกครั้ง เมื่อโค้ชท่านหนึ่งแนะนำให้เขาลองเปลี่ยนจากเตะฟุตบอลด้วยเท้าขวาที่ถนัด มาเป็นเท้าซ้ายแทน

            

“ผมเป็นคนถนัดขวา เขียนหนังสือด้วยมือขวา แต่ตอนนั้นเป็นเด็ก เล่นฟุตบอลจนได้เข้าร่วมโครงการโค้กคัพแข้งทอง แล้วโค้ชบอกผมว่าให้เล่นบอลด้วยเท้าซ้าย แกบอกว่าเล่นด้วยเท้าขวามันธรรมดาไป”

            

“ตอนซ้อมกันเวลาบอลมา ถ้าผมแปด้วยเท้าขวา เขาจะคอยตี ดุว่าไม่ได้นะ ต้องฝึกเท้าซ้ายให้ชิน อะไรอย่างนี้ ตอนแรกรู้สึกฝืนมากเลยครับ มันเล่นไม่ได้... แล้วตอนเด็กเราก็ไม่ชอบถูกบังคับ แต่พอเล่นไปเล่นมารู้สึกว่าก็แปลกดีครับ เพราะเพื่อนๆ เขาเล่นเท้าขวากัน เราเลยลองดูสักครั้ง พยายามฝืนจนเริ่มชินและเล่นได้ภายในหนึ่งปี จนทุกวันนี้ผมถนัดเล่นเท้าซ้ายมากกว่าเท้าขวา และคิดว่าตัดสินใจถูก เพราะทำให้เราเล่นไม่เหมือนคนอื่น แล้วด้วยพื้นฐานทำให้ยังเล่นด้วยเท้าขวาได้ ก็กลายเป็นคนที่เล่นฟุตบอลได้ทั้งสองเท้าครับ”

            

ก้าวย่างที่สำคัญของชีวิตในลำดับถัดมา พ่อพาเขาในวัย 11 ปีไปทดสอบฝีเท้าคัดตัวเข้าอะคาเดมีของสโมสรชลบุรี เอฟซี ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการพัฒนานักฟุตบอลเยาวชนจนก้าวไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แล้วเมื่อผ่านการคัดเลือก ก็ต้องย้ายจากบ้านของครอบครัวที่จังหวัดปทุมธานี ไปอยู่หอพักของโรงเรียนท่าข้ามพิทยาคม จังหวัดชลบุรี

            

ฉัตรมงคลเล่าถึงประสบการณ์ล้ำค่าที่ได้จากสถาบันลูกหนังชลบุรี เอฟซี อะคาเดมี ให้ฟังว่า

            

“พ่อเขามองว่าถ้าเราเข้าชลบุรีอะคาเดมี เห็นเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพชัดเจนกว่า แต่วันไปคัดตัวผมแบกอายุนะ เราอายุ 11 ปี ต้องไปคัดกับรุ่นพี่แก่กว่า 2 ปี โค้ชเฮง (วิทยา เลาหกุล) มาดูด้วย พอทดสอบฝีเท้าเสร็จ เขาขอดูลายมือผม (หัวเราะ) แล้วบอกว่าเขารับ ถามว่าพร้อมเข้าแคมป์วันนั้นเลยมั้ย”

            

“แต่พอผมไปอยู่ชลบุรี แรกๆ ยังไม่ชิน อยู่ไม่ได้ ถึงกับร้องไห้ จากเดิมเราเคยเตะฟุตบอลโรงเรียน พ่อแม่มารับกลับไปนอนบ้าน แต่ที่นั่นต้องใช้ชีวิตอยู่หอ ต้องตื่นเองไปโรงเรียน ไม่ได้เจอพ่อแม่ ก็คิดถึงบ้าน แรกๆ ผมไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร แต่ตอนหลังได้คุยกับเพื่อน กับรุ่นพี่ ชักสนุกขึ้น เราก็เริ่มอยู่ได้”

            

“อะคาเดมีของชลบุรีเขาฝึกให้เราเป็นมืออาชีพตั้งแต่เด็ก คือต้องมีระเบียบวินัย ตื่นเช้ามาซ้อม กินข้าวให้ตรงเวลา ส่วนเรื่องฟุตบอล รูปแบบการฝึกของโค้ชเฮงจะแปลกแตกต่างจากที่เราเคยฝึกมา แล้วจะมีนักจิตวิทยามาพุดคุยทุกอาทิตย์ ให้ข้อมูลและความรู้เรื่องฟุตบอลให้เด็กฟัง แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข”

            

“ช่วงแรกผมโดนโค้ชเฮงด่าบ่อยครับ เขาจะฝึกให้เรากล้าเล่น บอกว่าไม่ต้องกลัวอะไรหรอก เพราะเรามีเบสิกที่ดีอยู่แล้ว”

            

ฉัตรมงคลผ่านการบ่มเพาะศาสตร์ลูกหนังที่ชลบุรี เอฟซี อะคาเดมีราว 7 ปี จากที่เคยได้แต่นั่งดูทีมชุดใหญ่ลงแข่งจากบนอัฒจันทร์ แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อเขาถูกดันให้ขึ้นไปซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ผู้มากประสบการณ์ แล้วจากนั้นไม่นานยังได้รับโอกาสลงสัมผัสเกมฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาล 2020

            

เขาเคยเล่าว่าในวันแรกที่ได้ลงซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ก็รับรู้ได้ชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างระดับเยาวชนกับนักฟุตบอลอาชีพ ทั้งสปีดบอล พละกำลัง ยังไม่ทันซ้อมจบเซสชันสองเขาก็เหนื่อยแทบหมดแรง ต้องเร่งกลับไปฟิตซ้อมร่างกายให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้น

            

“ขึ้นมาอยู่ทีมชุดใหญ่ ตอนแรกมีความกดดันสูงครับ พวกพี่ๆ แต่ละคนก็เก่ง เรากลัวจะตามเขาไม่ทัน แต่โค้ชเตี้ยเขาเป็นคนเปิดโอกาสให้เด็ก คอยสอนตลอดครับ อย่างก่อนแข่งเขาจะบอกว่าไม่ต้องกลัวอะไร ให้กล้าเล่น มีอะไรกูรับผิดชอบเอง ขอให้มึงแค่กล้าเล่นพอ เราฟังแล้วรู้สึกว่ามีคนซับพอร์ต”

            

“ผมได้เล่นเกมไทยลีกครั้งแรกเจอทีมตราด เป็นตัวจริงเล่นแบ็กซ้าย หนักครับ ตื่นเต้นด้วย ไม่เคยเจอแฟนบอลขนาดนี้มาก่อน เวลาเราหรือเพื่อนส่งบอลพลาด แฟนจะโห่ เราก็กดดัน ยอมรับว่ายากกว่าที่คิดเยอะเวลาเจอเกมจริง แต่หลังจากได้ลงเล่นสม่ำเสมอ 20 กว่านัด ก็ค่อยๆ ชิน ไม่ยากเท่าเกมแรกเกมที่สอง บวกกับรุ่นพี่คอยสนับสนุน ยิ่งเล่นไปเราก็ยิ่งเข้าใจเกม และกล้าเล่นมากขึ้น”

            

ถึงแม้ว่าในฟุตบอลไทยลีก 2020 ผลงานของทีมฉลามชลจะแผ่วลงจนอันดับร่วงไปในโซนเสี่ยงตกชั้น กระทั่งมีเสียงปรามาสว่าเด็กพวกนี้ยังไม่ดีพอที่จะเล่นในลีกสูงสุด แต่แล้วด้วยการรวมใจกันฮึดสู้ ทีมฉลามชลเลือดใหม่ก็ทำสำเร็จ นอกจากไม่ตกชั้นไทยลีก ยังไปสร้างความฮือฮาในฟุตบอลช้าง เอฟเอ คัพ 2020 จากผลงานหักปากกาเซียนทั่วฟ้าเมืองไทย โค่นบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดในรอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์ 2-1 ประตู เข้าไปชิงชัยกับแชมป์เก่าอย่างสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด โดยที่ ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ ได้รับความไว้วางใจให้ลงเป็นตัวจริงในเกมสำคัญทั้งสองนัดดังกล่าว

            

“เกมกับบุรีรัมย์ โค้ชเตี้ยบอกตั้งแต่ตอนซ้อมว่าเราไม่ได้ไปแข่งเพื่อตั้งรับ เขาพูดตรงๆ ว่าอยากชนะ แม้จะรู้ว่าศักยภาพผู้เล่นของทีมเราไม่เท่ากับบุรีรัมย์ แต่เขาบอกว่า กูเชื่อ ถ้าพวกมึงมีใจ พวกมึงสู้ได้ เรื่องแทคติกไม่ต้องบอกอะไรแล้ว เขาขอแค่ใจอย่างเดียว”

            

“ตอนลงสนามผมกดดันมากครับ เพราะไม่เคยเข้ามาเล่นถึงรอบรองฟุตบอลเอฟเอ คัพ แต่พอเล่นไปสักพัก เรารู้สึก เฮ้ย มันก็โอเค เราก็พอสู้ได้ แล้วเราก็ไม่ประมาท รุ่นพี่จะคอยสั่งคอยบอกตลอดเวลา จนทีมชนะ เราก็รู้สึกปลดล็อก แล้วก็ภูมิใจ โล่งใจ ผมมองว่าที่ทีมชนะเพราะทุกคนช่วยกันเล่น”

            

“ส่วนในเกมนัดชิงกับเชียงราย ยูไนเต็ด ตอนลงสนามไม่รู้สึกกดดันเท่าเจอบุรีรัมย์ครับ แต่ด้วยทั้งสองทีมเล่นแบบคุมเชิง ก็ค่อนข้างเล่นยาก ลูกแรกที่ผมยิงได้ จากทีมได้เตะฟรีคิก แล้วพี่กฤษดา กาแมน โยนเข้ามา ถ้าเป็นตอนซ้อม ผมจะต้องยืนหลังป้องกันคู่แข่งสวนกลับ แต่วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจ ข้างหลังผมมีผู้เล่นคู่แข่งแค่คนเดียว ผมค่อยๆ ย่องไปครับ คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าบอลจะลอยมา แต่ก็เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าบอลจะมาทางนี้ พอยิงเข้าไป มันขนลุกเลยครับ ดีใจสุดๆ เพราะผมไม่เคยยิงได้ในนัดสำคัญอย่างนี้มาก่อน”

            

เหตุการณ์เป็นอย่างที่เขาเล่า เมื่อ กฤษดา กาแมน เปิดลูกฟรีคิกเข้ามาในกรอบเขตโทษ ฉัตรมงคลวิ่งสอดทะลุแนวกำแพงคู่แข่ง แล้วยิงบอลด้วยเท้าซ้ายแบบไม่จับ ส่งลูกเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตูแรกของเกม ทว่าต่อมาทีมเชียงรายสามารถตีเสมอ นำไปสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ กระทั่งฉลามชลแพ้หวุดหวิดในช่วงดวลจุดโทษ ฉัตรมงคลเผยว่าเขาแอบเสียใจจนน้ำตาซึม แต่ทุกคนในทีมคุยกันว่าจะขอสู้ต่อและพัฒนาทีมให้แข็งแกร่ง เพื่อกลับมาทวงแชมป์อีกในปีหน้า

            

จากวัยเด็กที่อาศัยการเล่นฟุตบอลเพื่อเอาชนะโรคหอบหืด ฉัตรมงคลสามารถทำฝันของเขาให้เป็นจริงด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ไม่เพียงเท่านั้นยังก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ภายใต้การคุมทีมของโค้ชชาวญี่ปุ่น อากิระ นิชิโนะ ลงแข่งกับทีมออลสตาร์ ในช่วงเดือนพฤจิกายน 2563 โดยที่เขาได้ชื่อว่ามีอายุน้อยที่สุดในทีมชาติชุดนั้น ในวัย 18 ปี และยังเรียนไม่จบชั้นมัธยมที่หก 

            

ผ่านมาถึงปีปัจจุบัน ล่าสุดจากการประกาศรายชื่อนักเตะทีมชาติเข้าแคมป์เก็บตัวในเดือนพฤกษภาคม เพื่อคัดตัวไปแข่งฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รอบสอง โซนเอเชีย ที่ประเทศยูเออีในเดือนมิถุนายนนี้ ชื่อของฉัตรมงคลติดเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกเรียกตัวด้วย

            

“ตอนติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก ผมภูมิใจมากครับ ไม่น่าเชื่อเรามาถึงจุดนี้เร็วขนาดนี้ ผมตั้งเป้าว่าจะติดทีมชาติชุดใหญ่ตอนอายุ 21-22 แต่พอติดเร็วก็เตรียมตัวไม่ถูก ตื่นเต้นเหมือนกัน ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง รุ่นพี่ในทีมชาติแต่ละคนเก่งๆ ทั้งนั้น เวลาลงสนามเขาจะซับพอร์ตเรา สั่งเรา ผมก็ยินดีรับฟัง รู้สึกว่าได้ประสบการณ์ที่ดีครับ”

            

“ส่วนการติดทีมชาติครั้งนี้ ผมยังแปลกใจที่เขาเลือกผม แสดงว่าเขาก็ตามดูเรามาตลอด ก็ยังตื่นเต้นนะครับ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญด้วย ส่วนจะได้คัดตัวไปยูเออีหรือเปล่า อยู่ที่โค้ชตัดสินใจดีกว่าครับ อย่างแรกผมอยากเข้าไปเก็บประสบการณ์ในแคมป์ทีมชาติก่อน ค่อยเก็บเกี่ยวไปเรื่อยๆ ครับ” 

            

“กว่าจะมาถึงตรงนี้ ผมใช้ความพยายามมากเลยครับ ทั้งตอนเล่นบอลนักเรียนจนขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ โดนโค้ชด่าไม่รู้เท่าไหร่ แต่ผมมองว่ามันคุ้มค่า ทั้งเวลาที่พ่อพาเราไปซ้อม และคุ้มค่าเวลาเราซ้อมแล้วทำผลงานออกมาดี มันเหมือนสิ่งที่เราทำมาไม่สูญเปล่า ฟุตบอลเป็นสิ่งที่เราชอบด้วยครับ”

            

“ส่วนในอนาคตผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากไปเล่นที่เจลีกบ้าง เหมือนพวกพี่เจพี่อุ้ม แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ ผมต้องพัฒนาตัวเอง ผมอยากจะพัฒนาฝีเท้าและทำผลงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ” นักเตะเท้าซ้ายอนาคตไกลของทีมฉลามชลและทีมชาติไทยกล่าวทิ้งท้าย


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

โฆษณา