14 เมษายน 2564
ซีซั่น 2020/21 ถือเป็นฤดูกาลอันแสนยาวนานของวงการลูกหนังไทยที่ปิดฉากลงพร้อมสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการผงาดคว้าแชมป์ไทยลีกเร็วที่สุดของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด หลังเหลือเกมในมืออีก 6 เเมตช์ ทำลายสถิติเดิมของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปี 2011 ที่ชูถ้วยแชมป์ก่อนจบซีซั่น 4 เกมได้อย่างราบคาบ, อันเดรส ตูเญซ ขึ้นแท่นแข้งต่างชาติคว้าแชมป์ไทยลีกมากที่สุดถึง 5 สมัย, “สิงห์เจ้าท่า” คว้าสิทธิ์ลุยฟุตบอลถ้วยสโมสรเอเชีย 3 ปีติดต่อกัน (2020, 2021 และ 2022) หรือ “ช้างศึกยุทธหัตถี” ยักษ์หลับที่รอดตกชั้นอย่างหวุดหวิด ทำให้ซีซั่นหน้าพวกเขาจะได้โชว์ลวดลายบนฟลอร์หญ้าลีกสูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 9
และอีกสิ่งหนึ่งที่จะข้ามไปไม่ได้เลยนั่นคือทัพ “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี กับภารกิจลุยศึกไทยลีกโดยมีแข้ง “สายเลือดใหม่” เป็นแกนหลักคอยขับเคลื่อนยอดทีมจากทะเลฝั่งตะวันออกทีมนี้
“ชลบุรี จำเป็นที่จะต้องสร้างนักเตะคุณภาพขึ้นมาด้วยตนเอง และดันแข้งเหล่านั้นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เนื่องจากเราไม่มีเงินทุนที่จะไปซื้อนักเตะฝีเท้าดีที่ราคาแพง” วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิค “ฉลามชล” กล่าว
จึงไม่น่าแปลกใจที่ฤดูกาลนี้ ชลบุรี เอฟซี ยังคงประกาศดันแข้งเยาวชนขึ้นสู่ชุดใหญ่มากพอตัว เช่น ทรงชัย ทองฉ่ำ, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์, สัมพันธ์ เกษี, บุคฆอรี เหล็มดี, พงศกร ตรีสาตร์
แม้ผลงานในลีกซีซั่น 2020/21 ทัพ “ฉลามชล” จะจบได้เพียงอันดับ 12 ของตาราง จากสถิติลงเล่น 30 นัด ชนะ 9 เสมอ 5 และแพ้ 16 เกม โดยคะแนนห่างจากโซนตกชั้นเพียง 4 แต้ม ซึ่งกว่าจะรู้ว่ารอดตกชั้นแบบชัวร์ๆ ต้องรอถึงเกมนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล หลังเปิดบ้านเสมอ สุโขทัย เอฟซี 0-0 นี่คือผลงานในลีกที่ไม่จืดของ ชลบุรี เอฟซี อีกทั้งในศึก ช้าง เอฟเอ คัพ 2020 ที่อุตส่าห์ฝ่าด่านหักปากกาเซียน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในรอบรองชนะเลิศได้ชนิดไม่มีใครคาดคิด ดันพลาดท่าช่วงจุดโทษพ่าย สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ไปแบบน่าเสียดายด้วยสกอร์รวม 4-5 ในรอบชิงชนะเลิศ
แต่รู้หรือไม่ว่าความพ่ายแพ้หนนี้ แฟนๆ “ฉลามชล” ส่วนใหญ่แทบจะไม่ออกมาวิจารณ์นักเตะ โค้ช รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องของสโมสรเลย เพราะนอกจากการเล่นที่ดูมีทรงขึ้นมากจนเป็นที่ประจักษ์ในฤดูกาลนี้ พวกเขายังค้นพบ “เหล่าเพชรนํ้าหนึ่ง” ตามรายชื่อที่กล่าวไปจนทำให้ซีซั่นหน้าอาจพูดได้เต็มปากว่า Chonburi’s new era พร้อมยกระดับให้ ชลบุรี กลับมาเป็น ชลบุรี ดั่งที่เคยเป็นอีกครั้ง
เกมนัดชิงชนะเลิศศึก ช้าง เอฟเอ คัพ 2020 ที่ผ่านมา “โค้ชเตี้ย” ตอกยํ้าปรัชญาการเล่นของสโมสรแบบไม่มีกั๊ก ด้วยการส่งผู้เล่นไทยเป็นแกนหลัก และที่สำคัญทุกคนคือนักเตะจากผลผลิตอคาเดมี ชลบุรี เอฟซี ทั้งสิ้น ไล่มาตั้งแต่…
นพนนท์ คชพลายุกต์ (29 ปี)
ชนินทร์ แซ่เอียะ (28 ปี)
วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ (23 ปี)
สหรัฐ สนธิสวัสดิ์ (23 ปี)
กฤษดา กาแมน (22 ปี)
สัมพันธ์ เกษี (21 ปี)
ทรงชัย ทองฉ่ำ (19 ปี)
ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว (19 ปี)
ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ (18 ปี)
*สำรอง
เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ (30 ปี)
ภานุพงศ์ พลซา (26 ปี)
เสฏฐวุฒิ วงค์สาย (23 ปี)
ความบ้าลูกหนังในแบบฉบับของ ชลบุรี เอฟซี ที่เลือกจะเดินในเส้นทางการสร้างเพชรเม็ดงามด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง ทำให้พวกเขาสามารถใช้แข้งลูกหม้อของตัวเองลงสนามในเกมนัดชิงชนะเลิศได้แทบจะยกเข่ง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม “ฉลามชล” เลือดใหม่ ถึงมีอนาคตอันสดใสที่น่าจับตา…
ถ้าเราโฟกัสกันจริงๆ ปรัชญาการปั้นนักเตะของ ชลบุรี เอฟซี นั้นมักจะมีรุ่นพี่คอยเป็นแบบอย่าง และประคับประคอง สิ่งเหล่านี้คอยหล่อหลอมทำให้นักฟุตบอลดาวรุ่งของพวกเขาเติบโตได้ในแบบที่ควรจะเป็นทั้งใน และนอกสนาม เฉกเช่น สินทวีชัย ตำนานของทีมค่อยๆ เปลี่ยนถ่ายมาเป็น ชนินทร์ ในตำแหน่งผู้รักษาประตู ขณะที่บรรดาแข้งอคาเดมีรุ่นแรกของ ชลบุรี เอฟซี ที่มีชื่อติดทีมชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 2016 ก็เพิ่งเข้ามามีบทบาทกับทีมชุดใหญ่ของสโมสรในฤดูกาล 2018 ทั้ง กฤษดา กาแมน, สหรัฐ สนธิสวัสดิ์ และวรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ...
กฤษดา คือแข้งสารพัดประโยชน์ เล่นได้ทั้งตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก และมิดฟิลด์ พร้อมซัด 2 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์ในลีก ขณะที่ สหรัฐ มิดฟิลด์เชิงรับที่โชว์ผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา มีความโดดเด่นเรื่องการจ่ายบอลสั้น-ยาว และคุมจังหวะแดนกลางอย่างมีชั้นเชิง ด้าน วรชิต มิดฟิลด์ตัวรุกที่ถือเป็น “เพชรเม็ดงาม” คนหนึ่งของทีม ไทยลีกซีซั่นนี้ยิง 4 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ โดยทั้งสามคนยังคอยเป็นแกนสำคัญให้กับแข้งรุ่นน้องที่เพิ่งขึ้นมาเล่นฟาดแข้งบนลีกสูงสุดของไทยอย่าง ทรงชัย ทองฉ่ำ ปราการหลังวัย 19 ปี เจ้าของความสูง 183 เซนติเมตร ที่ได้รับโอกาสลงสนามในไทยลีกถึง 10 เกม ซึ่ง 4 ใน 10 นัดดังกล่าวคือ การเผชิญหน้ากับศูนย์หน้าทีมหัวแถวไทยลีกอย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, การท่าเรือ เอฟซี, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และราชบุรี มิตรผล เอฟซี แม้ไม่อาจพาทีมเก็บคลีนชีตสำเร็จ แต่มันคือประสบการณ์ชั้นดีที่ไม่มีขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือหาซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว แนวรุกตัวจี๊ดวัย 19 ปี ที่เดบิวต์ซีซั่นแรกบนลีกสูงสุดถึง 20 เกม พร้อมสร้างความมั่นใจซัดประตูเปิดซิงให้ตนเองได้สำเร็จ พร้อมกับมีข่าวว่าเจ้าตัวเตรียมออกไปโบยบินในแดนปลาดิบเฉกเช่นรุ่นพี่หลายๆ คนในรั้วทัพ “ฉลามชล” เชื่อได้เลยว่าหากเจ้าตัวยังคงรักษาความกระหาย และเพิ่มความคงเส้นคงวาในการลงสนามเช่นนี้ โอกาสที่เราจะได้เห็น ชาญณรงค์ ผงาดในสีเสื้อทีมชาติไทยชุดใหญ่ในเร็ววันนี้ก็มีความเป็นไปได้
ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ แบ็กซ้ายอีกคนที่ผันตัวเองจากเด็กมัธยมธรรมดาๆ คนหนึ่งก้าวขึ้นมาเเจ้งเกิดในเส้นทางฟุตบอลอาชีพได้อย่างเต็มตัวในสีเสื้อ “ฉลามชล” ชุดใหญ่ เขาคือแบ็กซ้ายตัวหลักของทีมในซีซั่น 2020/21 พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ในเกมนัดชิง ช้าง เอฟเอ คัพ 2020 ด้วยการฝาก 1 ประตู หลังสอดทะลุเข้าไปชาร์จประตูขึ้นนำในแมตช์ดังกล่าวได้อย่างเนียนตา ความคงเส้นคงวาตลอดทั้งฤดูกาล ได้ไปเขาตา อากิระ นิชิโนะ แบบเต็มๆ จนกระทั่งเจ้าตัวถูกเรียกตัวเข้าแคมป์ทีมชาติในฐานะนักเตะทีมชาติไทยชุดใหญ่ นี่คืออีกหนึ่งเพชรเม็ดงามที่ถูกกลั่นขึ้นมาจากดินธรรมดาๆ ด้วยความอดทน และตั้งใจ จนกลายเป็นความภาคภูมิใจของคนที่รัก และศรัทธาในคำว่า “ชลบุรี เอฟซี” ได้อย่างภาคภูมิ
จากสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคงพอจะบอกได้ว่า ชลบุรี เอฟซี นั้นอุดมไปด้วยขุมกำลังที่กำลังถูกเพาะบ่มอย่างเข้มข้นไม่ต่างไปจากไวน์ในถังไม้โอ๊คชั้นดี และเรายังเชื่อว่าฟอร์ม ณ ปัจจุบันของเหล่าสายเลือดใหม่นั้นยังไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุด เพราะเรามั่นใจว่าเด็กชุดนี้ยังมีดี แข็งแกร่งทั้งร่ายกาย และจิตใจมากกว่านั้น ลองจินตนาการดูว่าในฤดูกาลหน้า จะเกิดอะไรขึ้นหากเพชรเม็ดงามเหล่านี้จะได้ลงสนาม พร้อมกับเรียนรู้วิชากับแข้งใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมทัพหมาดๆ อย่าง เดนนิส มูริลโล่ รองดาวซัลโวไทยลีก 2020/21, จิดี้ คานยุค จอมทัพตัวเก่งจาก “สวาทแคท” แน่นอนว่าแข้งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นครูชั้นดีที่จะทำให้พวกเขาต้องปรับตัวเพื่อพัฒนาตนเอง และลงเล่นร่วมกับเพื่อนร่วมทีมระดับหัวแถวไทยลีกให้ได้อย่างกลมกล่อม เพื่อตอบแทนศรัทธาแฟนบอล และพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า ชลบุรี เอฟซี คือสถาบันลูกหนังที่ผลิตนักเตะฝีเท้าดีป้อนสู่อุตสาหกรรมฟุตบอลไทยได้ดีที่สุดในประเทศ…
แม้ผลงานในศึกโตโยต้า ไทยลีก 2020/21 จะไม่สวยหรูดั่งที่ใจต้องการ
แม้ความผิดหวังในศึกช้าง เอฟเอ คัพ อาจจะทำให้หลายๆ คนต้องมีน้ำตา
แต่ทว่าสิ่งที่แฟนบอล “ฉลามชล” รวมถึงคอบอลไทยน่าจะรู้ดีก็คือ เพชรเม็ดงามจากรั้ว ชลบุรี เอฟซี ชุดนี้มีอนาคตสดใสที่รออยู่ ขอแค่ “เวลา” เท่านั้นที่จะคอยเพาะบ่มให้พวกเขาเหล่านี้ได้เรียนรู้โลกของฟุตบอลให้มากขึ้น เก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักนิด ก่อนจะผลิดอกออกผลเพื่อความสำเร็จที่เต็มไปด้วยรากฐานอันแข็งแกร่งของ ชลบุรี เอฟซี
เชื่อผมสิ อีกไม่นานเกินรอ เราได้เห็นการคัมแบ็กอันยิ่งใหญ่ภายใต้แบรนด์ “ชลบุรี เอฟซี” อย่างแน่นอน และชื่อของ “ฉลามชล” จะไม่ใช่เพียงแค่ “ยักษ์หลับ” ของวงการลูกหนังบ้านเราอีกต่อไป…
"ฉลามชล" เลือดใหม่ มีอนาคตสดใสที่น่าจับตามองจริงๆ...
TAG ที่เกี่ยวข้อง