stadium

พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี “ผมมีความสุขมาก เมื่อได้ลงแข่งในนามทีมชาติไทย”

4 เมษายน 2564

พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี

“ผมมีความสุขมาก เมื่อได้ลงแข่งในนามทีมชาติไทย”

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand

 

การมีโอกาสลงเล่นให้ทีมชาติไทยโดยเฉพาะทีมชาติชุดใหญ่ คงเป็นความฝันของนักฟุตบอลไทยหลายๆ คน ทว่าในยุคที่ฟุตบอลไทยลีกได้รับความนิยมต่อเนื่องมาหลายปี ค่าตัวและเงินเดือนนักเตะพุ่งสูงลิ่วเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ ก็มีเหตุการณ์หรือเรื่องเล่าขานว่านักเตะฝีเท้าดีบางรายชักไม่อยากเล่นให้ทีมชาติ เพราะอยากถนอมร่างกายลงเล่นให้สโมสรต้นสังกัดมากกว่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคงไม่มีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัวของ “นิว” พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี เพราะในวันนี้เขายังยืนยันอย่างชัดเจนว่า ตนเองมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ใส่เสื้อทัพช้างศึกลงสนามแข่งขัน แม้ว่าปัจจุบันนักเตะวัย 28 ปีผู้นี้จะเป็นกัปตันทีมและ “หัวใจเกมแดนกลาง” ของทีมสมุทรปราการ ซิตี้ ที่โลดแล่นในไทยลีกก็ตาม

 

จุดเริ่มต้นของ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี คงไม่ต่างจากนักฟุตบอลหลายๆ คน นั่นคือซึมซับความรักชอบฟุตบอลมาจากพ่อที่เป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน คุณพ่อประภาส ฉ่ำรัศมี นั้นมีดีกรีกองกลางทีมชาติไทย ทว่าเรื่องเล่าของนิวแตกต่างจากคนอื่นก็คือ ในวัยเด็กเขาเคยน้อยใจพ่อที่ไม่มีท่าทีส่งเสริมให้เล่นฟุตบอลอย่างจริงจังสักเท่าไร

 

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ครับ ตอนยังเด็กพ่อชอบพาผมไปที่สนามบอล เมื่อก่อนผมก็คลุกคลีที่สนามทีมท่าเรือ เพราะพ่อเป็นนักฟุตบอลเก่าและสตาฟโค้ชอยู่ที่ท่าเรือในยุคหนึ่ง ผมเลยไปเตะบอลที่นั่นทุกวัน ทำให้ผมชอบฟุตบอลไปเอง”

 

“แต่จะมีแบบว่า ผมเป็นนักเตะเยาวชนท่าเรือ เวลามีคัดบอลเยาวชนทีมชาติ พ่อไม่ยอมไปส่ง ไม่ทำอะไรเลย ผมต้องขอติดรถผู้ปกครองเพื่อนไป ไปเอง สมัครเอง แล้วก็กลับเอง เป็นอย่างนี้ตลอดเลย พอผมเรียนจบชั้น ป.6 พ่อจะฝากเข้าโรงเรียนเอกชนที่ไม่มีฟุตบอลให้เล่น แต่ผมอยากเรียนโรงเรียนที่มีฟุตบอล พ่อเพื่อนๆ เขาพาลูกไปสมัครคัดตัวที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ครับ ผมไปบอกที่บ้าน พ่อบอกถ้าอยากคัดก็ไปคัดเอง ผมก็นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับพ่อเพื่อน พอคัดติดที่เทพศิรินทร์ กลับมาบอกเขา เขาบอกถ้าอยากเรียนก็ไปเรียน วันรายงานตัวให้แม่มาคนเดียว เขาไม่เคยยุ่งอะไรเลย”

 

“ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก ตอนไปคัดทีมชาติเยาวชนแล้วไม่ติด ผมก็เสียใจ กลับมาร้องไห้กับแม่ แม่เลยไปต่อว่าพ่อ พ่อผมเคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่าเขาเลือกจะไม่เข้ามายุ่ง แต่พอผมโตขึ้นก็เข้าใจและรู้สึกขอบคุณพ่อ มันทำให้เราไม่ต้องกลัวคนว่าเป็นเด็กเส้น ผมพูดได้เต็มปากว่าผมมาถึงทุกวันนี้ด้วยตัวเอง พ่อไม่เคยยุ่งเลย”

 

โรงเรียนเทพศิรินทร์นอกจากเป็นสถาบันการศึกษาเก่าแก่ของเมืองไทย ยังมีชื่อเสียงระบือไกลด้านกีฬาฟุตบอล เคยประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ฟุตบอลนักเรียนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เมื่อพีรดนย์ได้เข้ามาเรียนต่อที่นี่ด้วยโควตานักฟุตบอล ก็เป็นช่วงชีวิตที่เด็กชายได้บ่มเพาะศาสตร์ลูกหนังและพัฒนาฝีเท้า พร้อมได้โอกาสสัมผัสประสบการณ์ลงแข่งฟุตบอลนักเรียนที่มีชื่อเสียงของไทยอย่าง “ฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี” ระหว่างโรงเรียนเทพศิรินทร์ อัสสัมชัญ สวนกุหลาบวิทยาลัย และกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

 

“ตอนเรียนเทพศิรินทร์ บ้านผมอยู่กรุงเทพฯ แต่ผมไปอยู่หอ นอนที่โรงเรียน ตื่นเช้าไปเรียน ตอนเย็นซ้อมบอล ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าจะเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพหรือเปล่า แต่ด้วยผมรักฟุตบอลแล้ว ก็เลยเล่นสนุกกับเพื่อนวัยเดียวกัน แล้วก็ได้ประสบการณ์ตอนไปแข่งฟุตบอลนักเรียน เช่น ฟุตบอลกรมพละ หรือฟุตบอลจตุรมิตร ซึ่งเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลของผมอย่างจริงจัง”

 

“ผมได้เล่นฟุตบอลจตุรมิตรสองครั้ง ครั้งแรกได้รับเลือกตอนอยู่ ม.3 อายุ 15 ปี น่าจะอายุน้อยที่สุดในจตุรมิตรครั้งนั้น จำได้ว่าตอนลงไปเล่นตื่นเต้นมาก ตัวเล็กด้วย... แล้วเวลาแข่งกองเชียร์เขาจะเชียร์กันแบบจริงจัง ตะโกนด่ากัน เป็นโรงเรียนชายล้วน คนเยอะมาก เราไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน มันทำให้เราอยากจะเล่นอีก แล้วผมก็ได้เล่นจตุรมิตรอีกครั้งตอนอยู่ ม.5”

 

เมื่อเริ่มรู้ใจตนเองชัดเจนขึ้นว่าอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ หลังนิวเรียนจบชั้นมัธยมปลายจากเทพศิรินทร์ เขาได้รับโควตาผ่านเข้าศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเล่นฟุตบอลให้ทีมจามจุรี ยูไนเต็ด ในดิวิชัน 2 หลังจากนั้นด้วยฝีเท้าที่โดดเด่น สโมสรใหญ่ในลีกสูงสุดอย่างเมืองทอง ยูไนเต็ด ก็ดึงตัวเขาไปร่วมทัพ ถือเป็นการยกระดับสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างที่เจ้าตัวมุ่งหวัง แต่ขณะเดียวกันก็พบกับแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน...

            

“จากสมัยมัธยมเล่นฟุตบอลนักเรียนเจอแต่อายุไล่ๆ กัน พอมาเล่นให้ทีมจามจุรี แม้เป็นการเล่นกึ่งอาชีพ แต่ก็ถือว่าเป็นอีกระดับหนึ่ง หนักขึ้น เพราะจามจุรีใช้แต่เด็กมหาลัย พอไปแข่งกับทีมอื่น เจอคู่แข่งอายุมากกว่า หรือเจอนักเตะต่างชาติ แล้วเราสู้เขาไม่ได้ ช่วงนี้ผมเริ่มซ้อมจริงจังขึ้น เริ่มเล่นฟิตเนส เพราะตอนนั้นตัวเล็ก ความจริงมาที่นี่ช่วงแรก ผมไม่มีชื่อติดแม้แต่ตัวสำรองถึง 3-4 นัด เราก็ท้อ แต่ก็พยายามพัฒนาตัวเอง ตอนเช้าผมไปซ้อมที่สนามคนเดียว ไปวิ่งคนเดียว ตอนเย็นซ้อมร่วมกับทีม ทำอยู่อย่างนั้นหลายสัปดาห์ ก็เริ่มมีชื่อติดตัวสำรอง แล้วก็ขยับไปเล่นตัวจริง”

            

“ตอนย้ายไปทีมเมืองทอง ผมไปเซ็นสัญญาที่สยามกีฬา ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัว จากเงินเดือนสี่พันตอนเล่นให้จามจุรี ก็ได้เพิ่มขึ้นมาก ดีใจครับ แต่อีกด้านก็รู้สึกกดดัน เพราะทีมเมืองทองยุคนั้นเป็นพวกพี่มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) พี่โก้ (ดัสกร ทองเหลา) กับพี่แป๊ะ (พิชิตพงษ์ เฉยฉิว) ก็ยังอยู่ เรายังเป็นเด็กน้อย ไม่รู้จักใครสักคน ไปซ้อมกับเขาก็ไม่กล้าเล่น ตอนนั้นเรากลัว เราสู้เขาไม่ได้ มันทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เก่งอย่างตอนอยู่มหาลัยนะ ขับรถไปซ้อมแต่ละวันก็เครียด ช่วงนั้นค่อนข้างท้อ ไปอยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือนมั้งครับ ช่วงปรีซีซั่น ทางพี่เป้ (รณฤทธิ์ ซื่อวาจา) คงเห็นแล้วว่าผมอาจยังไม่พร้อมกับเมืองทอง เขาเลยมาถามผมว่าจะไปเล่นกับพัทยา ยูไนเต็ด ในดิวิชัน 1 ไหม ผมบอกว่าไปครับ เพราะผมไม่แฮปปี้ อยู่ที่นี่ผมสู้เขาไม่ได้”

 

พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี ย้ายมาเล่นให้ทีมพัทยา ยูไนเต็ด ในปี 2015 ด้วยสัญญายืมตัว และทำผลงานได้ดี ในปีต่อมาหวนคืนต้นสังกัด แต่ยังไม่สามารถเบียดแทรกตัวจริงในทีมเมืองทองได้ ในปี 2017 เขากลับไปพัทยา ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัวอีกรอบ กระทั่งปีถัดมาก็ถูกซื้อตัวเข้าทีมอย่างถาวร และอยู่ยาวมาถึงปัจจุบัน ซึ่งทีมได้เปลี่ยนชื่อเป็น สมุทรปราการ ซิตี้ ส่วนนิวได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม หากใครถามนิวตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าคิดไม่ผิดที่เลือกมาที่นี่ เพราะเขาสามารถเล่นฟุตบอลให้ทีม “เขี้ยวสมุทร” ได้อย่างมีความสุข

            

“ผมว่าการเล่นฟุตบอล เรื่องจิตใจสำคัญที่สุด ผมพัฒนาขึ้นจากการที่เราได้เล่นอย่างสม่ำเสมอ แล้วเราก็มั่นใจ ถ้าเราไม่ได้เล่น หรือนานๆ ได้เล่นที ก็ไม่มีความมั่นใจ เวลาลงไปเล่นก็ไม่ดี อีกส่วนหนึ่งแนวทางการเล่นของทีมตรงกับที่ผมเล่นอยู่แล้ว คือสไตล์เล่นบอลกับพื้น เป็นบอลจากเท้าสู่เท้า ไม่ได้เล่นบอลโยนจากหลังไปหน้า แต่เริ่มบิวต์เกมจากประตูโดยเล่นลูกสั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ว่าโค้ชคนไหนมายังก็เล่นแบบนี้อยู่”

            

“นอกจากนั้นตอนผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อนร่วมทีมจะเป็นเด็กรุ่นไล่ๆ กัน แล้วค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาด้วยกัน เราอยู่ด้วยกันมาหลายปี ทั้ง ปฏิวัติ คำไหม, ศุภนันท์ บุรีรัตน์, จักพัน ไพรสุวรรณ, ชญาวัติ ศรีนาวงศ์, ธีรพล เยาะเย้ย, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ คือพวกนี้เกาะกันมา เราผ่านอะไรมาด้วยกันหลายอย่าง ทั้งดีใจด้วยกัน เสียใจด้วยกัน อย่างเท่ห์ (เจริญศักดิ์) ตอนมายังเด็ก ตอนนี้ขึ้นเป็นแนวหน้าของประเทศ เราก็รู้สึกยินดีกับน้อง หรือรุ่นน้องหลายคนเห็นมาตั้งแต่แรก จนตอนนี้เขาเริ่มมีครอบครัวมีลูก เราก็มีความสุข เพราะเราเล่นด้วยกันมา เรารู้ใจกัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมแฮปปี้กับคนรอบข้างในทีมขณะนี้ ผมมองว่าฟุตบอลเล่นเป็นทีม มันต้องช่วยกันทั้ง 11 คน ผมย้ำกับน้องเสมอครับว่าต้องเล่นเพื่อทีมก่อน ไม่ใช่เห็นแก่ตัว เล่นเพื่อตัวเอง”

             

“ความสุข” มักเป็นคำที่พีรดนย์เอ่ยบ่อยๆ เมื่อพูดถึงการเล่นฟุตบอลของตนเอง นอกเหนือจากการเล่นให้สโมสรต้นสังกัด สมุทรปราการ ซิตี้ ด้วยความพึงพอใจแล้ว พีรดนย์ย้ำว่าเขามีความสุขทุกครั้งที่ได้สวมเสื้อทัพช้างศึกลงแข่งขัน มันคือความภาคภูมิใจของเขาและครอบครัว เช่นเดียวกับที่พ่อของเขาก็เคยเป็นนักเตะทีมชาติในสมัยก่อน

            

“แมตช์แรกที่ผมติดทีมชาติชุดใหญ่ เป็นเกมอุ่นเครื่องกับทีมอุซเบกิสถาน (มิโลวาน ราเยวัช เป็นผู้จัดการทีมชาติไทยในตอนนั้น) ได้ลงไปเล่นครั้งแรก ผมรู้สึกดีใจ มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เด็ก มันเริ่มเห็นผล ประสบความสำเร็จในวันนั้น แล้วพอแข่งเสร็จทำให้ผมรู้ว่า มันมีความสุขมากเลยเวลาเราใส่เสื้อทีมชาติไทย หรือว่าเราลงแข่งในนามทีมชาติ”

            

“มันทำให้ผมยิ่งอยากพัฒนาขึ้น เพราะผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่ลงเล่นทีมชาติ ผมมีความสุข ผมก็พยายามตั้งใจทำให้ดีขึ้นทุกๆ วัน ทุกๆ ปี เพื่อที่ผมจะได้โอกาสลงเล่นทีมชาติด้วยความสุขอีก”

            

“ส่วนคู่แข่งตำแหน่งกองกลางในทีมชาติที่ตอนนี้มีนักเตะเก่งๆ หลายคน ผมมองว่าเป็นเรื่องดีที่เห็นคนที่เก่งกว่าเรา เพราะจะทำให้เราพยายามตามเขาให้ทัน หรือไปให้ดีกว่า คือเป็นแรงบันดาลใจไม่ให้เราอยู่นิ่ง แต่จริงๆ ผมว่าแต่ละคนมีดีคนละแบบ ขึ้นอยู่กับโค้ชว่าเขาชอบนักบอลสไตล์ไหน ยิ่งมีนักบอลหลายสไตล์ ก็ยิ่งดีต่อทีมชาติไทย”

 

สำหรับโปรแกรมของทีมชาติไทยมีคิวลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในเดือนมิถุนายน ที่ประเทศยูเออี จำนวน 3 นัด พีรดนย์คาดหวังว่าเขาจะมีชื่อติดอยู่ในทีมชุดนี้ด้วย และหากความหวังเป็นจริง เขาตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด สู้ให้เต็มที่เพื่อทีมชาติเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

La Vie en Rose