21 มีนาคม 2564
เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดยาวเป่าหมดเวลาการแข่งขันเกมฟาดแข้งฟุตบอลไทยลีกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม คู่ระหว่างทีมบีจี ปทุม ยูไนเต็ด เปิดบ้านเอาชนะทีมสุโขทัย เอฟซี 2-0 ประตู บรรยากาศของลีโอ สเตเดียม ก็ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกยินดีปรีดาและสุขสมหวัง บรรดาแฟนๆ “เดอะ แรบบิท” ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาชมเกมในสนามเป็นครั้งแรก หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ต่างเฉลิมฉลองกันอยู่บนอัฒจันทร์ พากันลุกขึ้นยืนปรบมือ ร้องเพลงเชียร์กระหึ่ม บ้างโห่ร้อง ชูผ้าพันคอที่มีชื่อสโมสรกันสลอน
กลุ่มสตาฟโค้ช ผู้บริหารของทีม และเหล่านักเตะทยอยเดินไปตั้งแถวร่วมยินดีกับแฟนบอลถึงหน้าอัฒจันทร์ หนึ่งในนั้นก็คือกองกลางร่างเล็กเจ้าของเสื้อเบอร์ “6” สารัช อยู่เย็น ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของทีมร่วมกับเพื่อนนักเตะคนอื่นๆ จนกระทั่งสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด สามารถสร้างประวัติศาสตร์ของทีม ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ไทยลีกมาครองเป็นครั้งแรกอย่างยิ่งใหญ่ หลังผ่านการรอคอยมาถึง 12 ปี
“ก่อนแข่งก็ปกติครับ เหมือนกับเกมอื่น แต่โอเค มันมีเป้าหมายที่ว่า ถ้าเราชนะเกมนี้ ทีมจะได้แชมป์เลย” สารัชเผยเบื้องหลังเกมกับทีมสุโขทัยในวันนั้น “แต่ทุกคนในทีมก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น หรือว่าต้องรีบทำประตู ทุกคนคิดว่าเล่นตามแทคติกที่โค้ชวางไว้ครับ พี่โอ่ง (ดุสิต เฉลิมแสน) ได้กำชับว่า ไม่ต้องรีบ ให้เล่นไปตามจังหวะเกมของเรา ไม่ต้องกดดันตัวเองเพื่อที่จะเอาสามคะแนนให้ได้”
“การเล่นของตัวเองในวันนั้นถือว่าน่าพอใจครับ ฟอร์มของทีมก็อยู่ในมาตรฐานที่เราต้องการ และตามที่เราวางแผนมา แต่ก็ต้องชมทีมสุโขทัยด้วยที่มาแพ็กเกมรับค่อนข้างแน่น ทำให้เราลำบากอยู่ โอเคเราได้ประตูนำเร็ว ทำให้ผ่อนคลายมากขึ้น แล้วก็อยู่ในเกมที่ดีของตัวเอง”
เมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลายืนยันว่าทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์ไทยลีกฤดูกาล 2020/21 มาครองแน่นอนแล้ว สารัช หรือ “ตังค์” เผยความรู้สึกขณะนั้นว่า “ก็ดีใจครับ เพราะอย่างที่เคยให้สัมภาษณ์กับหลายๆ ที่ คือ เป้าหมายของผมมาที่นี่เพื่อคว้าแชมป์อยู่แล้ว พอทำได้ก็รู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองด้วย เพราะผมได้แชมป์ไทยลีกครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว”
จริงอย่างที่เขากล่าว ตลอดชีวิตการค้าแข้งผ่านมา สารัชมีโอกาสคว้าแชมป์และได้รับเสียงชื่นชมมากมาย สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคงจะได้แก่ ความมุ่งมั่นทุ่มเทที่เขามีให้กับการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
“ผมไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และความมุ่งมั่นที่ผมมี เป็นสิ่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ”
สารัชเล่าว่าเขาเล่นฟุตบอลและเป็นตัวโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก กระทั่งจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ก็ได้รับโอกาสเข้าไปเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
สารัช อยู่เย็น เล่นในสังกัดทีมกิเลนผยองตั้งแต่ปี 2010-2020 จากนักเตะดาวรุ่งค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าจนก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของแผงมิดฟิลด์ มีส่วนร่วมช่วยสโมสรเมืองทองประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เช่น การคว้าแชมป์ไทยลีก 2 สมัย ในปี 2555 และ 2559 ยังไม่นับฟุตบอลถ้วยอีกหลายรายการ
“ช่วงที่อยู่กับทีมเมืองทอง ผมได้เรียนรู้หลายอย่างครับ การเป็นนักฟุตบอลอาชีพทำให้เรามีวินัยและความรับผิดชอบมากขึ้น แล้วสโมสรเมืองทองมีนักฟุตบอลทีมชาติค่อนข้างเยอะ ช่วงแรกผมก็ได้เรียนรู้จากรุ่นพี่ๆ ว่าเราจะพัฒนาตัวเองยังไง เขามีจุดเด่นจุดด้อยยังไง ก็นำมาปรับใช้กับตัวเอง ในสไตล์ของเรา”
นอกจากนั้นเขายังให้ความสำคัญกับการเป็นมืออาชีพ “เราไม่ใช่แค่ถึงเวลาก็มาซ้อมอย่างเดียว แต่รวมถึงการปฏิบัติตัวใน 24 ชั่วโมง เราต้องดูแลตัวเอง ไม่ว่าเรื่องอาหารการกิน การพักผ่อน ส่วนตอนมาฝึกซ้อม เราต้องทำการบ้านว่าตัวเองมีจุดด้อยตรงไหน เคยผิดพลาดตรงไหน ต้องแก้ไขยังไง ไม่ใช่ปล่อยผ่าน ถึงเวลาก็ไปแข่ง”
ชีวิตนักฟุตบอลของสารัชไม่ได้พบแต่ความราบรื่นตลอดเวลา อาการบาดเจ็บรุนแรงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากเผชิญ แต่หลายคนก็เลี่ยงไม่พ้น
ในการแข่งขันโตโยต้า ไทยลีก ฤดูกาล 2017 สารัชถูก พิชิตย์ ใจบุญ ผู้เล่นทีมสุโขทัย เอฟซีเข้าเสียบจนกระดูกบริเวณข้อเท้าหัก แพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วดามเหล็ก และต้องใช้เวลาพักฟื้นไม่ต่ำกว่าครึ่งปี นับเป็นช่วงเวลาอันหนักหน่วงและน่าทดท้อ
“ตอนนั้นรู้สึกว่ามันน่าจะกลับมาลำบาก เพราะไม่ใช่สภาพร่างกายที่เจ็บอย่างเดียว สภาพจิตใจก็แย่ด้วย โอเค เรามีการฟื้นฟูร่างกาย ทำกายภาพ เล่นเวทเทรนนิ่ง แต่พอกลับมาลงสนามได้แล้ว มันมีเรื่องของฟอร์มการเล่น เรื่องความมั่นใจ ซึ่งมันต้องใช้เวลากว่าจะเรียกกลับมาให้เหมือนเดิม เหมือนเราหายไปเป็นปี จังหวะการเล่นยังไม่เข้าที่ หรือเวลาเราเจอสถานการณ์คล้ายตอนที่เจ็บ เราก็จะไม่กล้าเล่น มันก็ส่งผลให้ความมั่นใจถดถอยลงไปเรื่อยๆ...”
ทว่าด้วยธาตุแท้ของความเป็นนักสู้ อย่างที่เขาบอกว่าตนเองไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็ทำให้สารัชพยายามกลับมาเป็นคนเดิมให้เร็วที่สุด
“ผมพยายามกลับมาอยู่แล้วครับ เราต่อสู้กับตัวเอง แล้วก็ตอนนั้นมีคนวิจารณ์ค่อนข้างเยอะ เช่น ไม่ทุ่มเท ฟอร์มตก หมดสภาพแล้วบ้าง อะไรอย่างนี้ ก็อยากจะลบคำสบประมาทพวกนั้น เรารู้ตัวเองว่ายังเล่นได้ ยังมีความสามารถอยู่ ก็พยายามที่จะหาจุดเปลี่ยนกลับมาทีละนิด จนกระทั่งถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติอีกครั้งยุคนิชิโนะ ก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผมกลับมามีความมั่นใจมากขึ้น”
บทพิสูจน์สภาพจิตใจและความเป็นมืออาชีพอีกครั้งหนึ่งของ สารัช อยู่เย็น เกิดขึ้นภายหลังจากที่เขาย้ายออกจากกิเลนผยองไปแล้ว เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2563 สารัชสวมเสื้อทีมบีจี ปทุม ยูไนเต็ด กลับไปเยือนเอสซีจี สเตเดียม ในเกมฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอคัพ 2020 แล้วมีแฟนบอลกิเลนผยองกลุ่มหนึ่งขึงป้ายผ้าเขียนถ้อยคำแห่งความเกลียดชังถึงเขา หลายคนอาจสงสัยว่าตัวนักฟุตบอลรู้สึกอย่างไร
“มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เราต้องเจอสถานการณ์แบบนี้” สารัชกล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้น “แต่ว่าผมไม่ได้ไปโฟกัสรอบนอกสนาม เพราะเวลาเราลงสนามแล้ว ผมจะโฟกัสแต่สิ่งที่อยู่รอบตัว ตลอด 90 นาทีเราต้องมีสมาธิในเกมการแข่งขัน ส่วนเรื่องแฟนบอลตรงนั้นผมไม่ได้ซีเรียสอะไร”
อย่างไรก็ตามสารัชก็ได้เผยความรู้สึกเมื่อต้องเก็บกระเป๋าย้ายออกจากสโมสรที่ตนแจ้งเกิดไว้ว่า
“ใจหายนะ เราอยู่เมืองทองมาตั้งแต่เด็กเลย ก็อยากขอบคุณแฟนเมืองทองทุกคนนะครับ ที่คอยสนับสนุนตลอดเวลา 11 ปีที่ผมอยู่ที่นั่น แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้ มันเป็นวิถีของนักฟุตบอลอาชีพ ที่วันหนึ่งจะต้องเดินออกจากสโมสรหนึ่ง แต่ว่าความผูกพันและความรักที่มีต่อสโมสรเก่ายังอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเราย้ายออกมาแล้ว เราก็ต้องเต็มที่กับสโมสรที่เราอยู่ในปัจจุบัน”
สารัชย้ายมาสังกัดสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2563 เป็นธรรมดาที่ฟอร์มการเล่นของนักฟุตบอลอาจมีขึ้นมีลงบ้าง แต่สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นอย่างสม่ำเสมอคือความมุ่งมั่นทุ่มเทในสนามแข่งขัน แล้วก็อย่างที่ทุกคนรู้ สารัชกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่สร้างประวัติศาสตร์ของสโมสร เมื่อ “เดอะ แรบบิท” สามารถทำลายสถิติคว้าแชมป์ไทยลีกเร็วที่สุด ในขณะยังเหลือโปรแกรมการแข่งขันอีก 6 นัด และยังมีลุ้นเป็นทีมแชมป์ไร้พ่ายอีกด้วย
“ความแข็งแกร่งของทีมบีจีชุดนี้ อันดับแรกผมว่ามาจากทีมสปิริตที่ดีครับ ทุกคนคอยสนับสนุนและปกป้องซึ่งกันและกัน อีกอย่างคือ ทีมงานสตาฟโค้ชและนักเตะทำงานร่วมกันแบบละเอียดมากๆ เรามีการนั่งดูเกม 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำการบ้านทีมคู่แข่งว่ามีจุดแข็งหรือข้อบกพร่องอะไร ซึ่งเราทำอย่างนี้ตลอด นอกจากนั้นในทีมยังมีผู้เล่นประสบการณ์สูง หลายคนผ่านไทยลีกมายาวนาน หรือเคยคว้าแชมป์ไทยลีกมาแล้ว ตรงนี้ก็ทำให้ทีมเราได้เปรียบ” สารัชกล่าวถึงที่มาความสำเร็จของทีม
ในขณะที่ถ้วยแชมป์เป็นรางวัลตอบแทนผลงานในฐานะนักฟุตบอล ในด้านชีวิตส่วนตัวสารัชก็เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่า เมื่อ “จ๋า” ทราภรณ์ เพ็ญประทุม ภรรยาคนสวยได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรกแก่เขาในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
“ลูกส่งผลเยอะครับ ตั้งแต่เขาเกิดมา เหมือนเป็นพลังอย่างหนึ่งเลย ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น มีแรงผลักดันมากขึ้น” พ่อตังค์กล่าวถึงลูกชายที่ตั้งชื่อว่า น้องตุลย์
“ผมอยากจะทำผลงานก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เพื่อที่เมื่อลูกโตขึ้นมาจะได้รู้ว่าพ่อของเขาประสบความสำเร็จในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ”
TAG ที่เกี่ยวข้อง