10 มีนาคม 2564
นับตั้งแต่ที่ ไทยลีก ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเปิดให้แฟนบอลเดินทางเข้ามาเชียร์ถึงขอบสนามจำนวน 25% ของความจุ เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา แน่นอนว่านี่คือหนึ่งในข่าวที่น่ายินดีที่สุดของแฟนบอลไทยในปี 2564
เพราะเราต้องยอมรับว่า บรรยากาศการดูบอลแบบ “นิว นอร์มอล” เป็นอะไรที่เราไม่ค่อยคุ้นชินกันจริงๆ ด้วยเสียงเชียร์ที่ขาดหายไป อัฒจันทร์เปล่าๆ ที่บางแห่งอาจจะขึงป้ายไวนิลแก้เขิน หรือจะอะไรก็แล้วแต่ สุดท้าย ฟุตบอลในแบบที่ไม่มีแฟนบอล มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนที่ไร้หัวใจ ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ หรือถึงแม้จะมีการถ่ายทอดสดแทบจะทุกสนาม หากแต่บรรยากาศลึกๆ ในใจเรานั้นก็พอจะบอกได้ว่า บางอย่างมันก็ไม่สามารถทดแทนความรู้สึกของการเดินทางเข้าไปชม หรือเชียร์ฟุตบอลถึงขอบสนามได้
ทุกอย่างดูว่างเปล่าเกินไป…
สำหรับคนที่รัก และหลงใหลในฟุตบอลจะรู้ดีว่า เราต่างเฝ้ารอคอยให้สุดสัปดาห์นั้นมาถึง เพราะทุกคนรู้ดีว่า วันเสาร์ หรืออาทิตย์นั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เราได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ได้แสดงออกถึงความศรัทธา และความรักในทีมฟุตบอลของเราด้วยการตบเท้าเดินทางเข้าไปให้กำลังใจทีมรักถึงขอบสนาม
ไม่ว่าจะเล่นในบ้าน หรือต้องออกเดินทางไปเยือนคู่แข่งไกลแค่ไหน เราก็แทบจะไม่มีบ่ายเบี่ยง บางเกมเราแทบรู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสที่ทีมรักจะคว้าชัยชนะได้นั้นแทบจะริบหรี่กลายเป็นศูนย์ หากแต่เราก็ยังเสียสละทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ เพื่อเดินทางไปเชียร์ทีมที่เรารักอย่างไม่มีเงื่อนไข เพียงเพราะเราอยากให้นักเตะทุกคนในทีมได้รู้ว่า
“ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน คุณจะได้ยินเสียงเชียร์ของพวกเราอยู่เสมอ”
เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ และแพสชั่นตลอด 90 นาทีของการแข่งขัน จึงไม่แปลกใจที่เรามักจะได้เห็นหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกลูกหนังมากมาย อาทิ ชัยชนะ ประตู ความสำเร็จ หรือโทรฟี่แชมป์ในวินาทีสุดท้าย จังหวะความผิดพลาดไม่คาดฝันที่นำมาซึ่ง “น้ำตา” ของแฟนบอลนับพันนับหมื่น ทุกอย่างล้วนแต่ก่อให้เกิดเป็น “ความผูกพัน” ระหว่าง “แฟนบอล” และ “สนาม” กระทั่งได้หล่อหลอมกันจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีกต่อไป
สองนัดแล้วที่ฟุตบอลไทยกลับมามีแฟนบอลในสนาม แม้จะเป็นแค่ยอดจำนวน 25% ของความจุ แต่เชื่อมั๊ยครับว่า 25% ที่ว่านี่แหละที่ช่วยให้ฟุตบอลไทยทุกคู่กลับมาตื่นเต้น มีสีสัน และเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอย่างแท้จริง เราสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ของนักเตะทั้งสองทีมที่ดูดุดันมากขึ้น เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า หน้าที่สำคัญที่สุดของคนที่อยู่ในสนามคือ ต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบแทบกำลังใจจากแฟนบอลที่ยอมเสียสละหลายๆ อย่างเพื่อเข้ามาเชียร์ทีมรักของตน
ความมันส์ และความระอุในสนามของศึกไทยลีกทุกระดับ จึงทวีคูณเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย...
ยิ่งไปกว่านั้น หากเรามองในแง่ของตัวเลขทางการเงิน การเปิดให้แฟนบอลกลับมาชมเกมในสนาม ย่อมเป็นผลดีต่อตัวสโมสรอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนั่นหมายถึงการเพิ่มรายได้ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั่วโลก แม้ว่าจำนวนเงินในแต่ละนัดจากค่าบัตรผ่านประตู และการจำหน่ายของที่ระลึกอาจจะไม่มาก แต่อย่างน้อย สโมสรก็ยังสามารถได้ใช้เม็ดเงินดังกล่าวมาจุนเจือ หรือเคลียร์รายจ่ายการจัดการแข่งขันโดยที่ไม่จำเป็นต้องควักเนื้อของตัวเองมากเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นรายได้ และเศรษฐกิจของชุมชุน ที่มีการเดินทางมาจับจ่ายใช้สอยบริเวณสนามในวันแข่งขันอีกด้วย
ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด - 19 แน่นอนว่าทุกกิจกรรมในสังคมล้วนแต่เปลี่ยนไป ดังนั้นทางฝ่ายจัดการแข่งขันจึงจำเป็นต้องสร้างมาตรฐาน และกฎระเบียบขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความปลอดภัยด้านสุขภาพ โดยสรุปใจความได้ว่า ถ้าสโมสรใดทำได้ตามมาตรการที่มีการตรวจสอบจาก กกท. และตัวแทนจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา หากสโมสรใดทำตามมาตรการที่กำหนดได้จริง ก็จะมีโอกาสขยับจำนวนแฟนบอลจาก 25% เป็น 50% ของความจุสนาม แต่หากทีมใดทำไม่ได้ อาจต้องแข่งแบบปิดจนจบซีซั่น
ผมในฐานะคนที่ทำงานในแวดวงฟุตบอลไทย และแฟนบอลคนหนึ่งยังเชื่อเสมอว่า "แฟนบอล" นี่แหละครับ ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะช่วยรันวงการบอลไทยให้ "สมบูรณ์แบบ" และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง และด้วยสถานการณ์โควิด - 19 ที่ยังไม่คลี่คลายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น สิ่งที่แฟนบอลทุกๆคน จะสามารถช่วยเหลือสโมสรได้นั่นก็คือ การปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ จากฝ่ายจัดการแข่งขัน และสโมสรอย่างเคร่งครัด เพื่อที่เราจะยังได้เข้าไปชม เข้าไปเชียร์ทีมรักของเราถึงขอบสนามต่อไปจนถถึงเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล…
#เก้น #นิติพงษ์ยวนตระกูล ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มเมืองเหนือไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล และบรรณาธิการกีฬา ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนังอย่างจริงจังโดยเฉพาะฟุตบอลไทย จนตัดสินใจยกหัวใจให้ “เกมลูกหนัง” เป็นตัวนำทางชีวิต
TAG ที่เกี่ยวข้อง