7 มีนาคม 2564
บางคนเรียกเขาว่าผู้รักษาประตูที่เคยเฉียดความตาย เหตุการณ์เกิดขึ้นในค่ำคืนวันที่ 30 เมษายน 2017 ภายหลังจาก ณัฐพงษ์ ขจรมาลี ผู้รักษาประตูทีมชัยนาท ฮอร์นบิล เสร็จสิ้นภารกิจลงทำหน้าที่เฝ้าเสาประตูในการแข่งขันเกมเหย้าที่ทีมชัยนาทฯ พบ ระยอง เอฟซี เขาขับรถกลับกรุงเทพฯ ไปหาครอบครัวตามปกติ ทว่าคืนนั้นเขากลับไม่ถึงบ้าน เพราะประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรงบนทางด่วน ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาชีวิต...
รายงานข่าวการประสบอุบัติเหตุของเขาสร้างความตื่นตกใจให้กับวงการฟุตบอลไทยขณะนั้นอย่างมาก หลายคนอดห่วงไม่ได้ว่าเขาจะรอดชีวิตหรือไม่
“ผมฟื้นมาอีกทีอยู่ที่โรงพยาบาล ผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ณัฐพงษ์ หรือ “คิว” เล่าให้ฟังว่าพอลืมตาก็ได้พบครอบครัวและแฟนยืมล้อมรอบเตียงด้วยความเป็นห่วง เขายังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
ทว่าต่อมาเมื่อได้เจอแพทย์ สิ่งที่ณัฐพงษ์เอ่ยถามเป็นอย่างแรกคือ เขาจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้หรือไม่
“เราถามคุณหมอเลยว่า ผมจะยังเล่นฟุตบอลได้อีกมั้ยครับ คุณหมอตอบว่ายังเล่นได้ แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาตัว...”
ในเวลานั้นหลายคนคงไม่เชื่อว่าณัฐพงษ์จะกลับมาสู่เส้นทางฟุตบอลได้ เขาก็รู้ดีว่าตนเองบาดเจ็บสาหัสเพียงใด กะโหลกศีรษะส่วนหน้าแตกเป็นเสี่ยง คล้ายกับกระจกที่แตกร้าว แพทย์ต้องรักษาโดยใช้นอตโลหะยึดประสานรอยร้าวเอาไว้เป็นแนว กระดูกแขนขวาหักเป็นสามท่อน ท่อนกลางแหลกละเอียด เอ็นข้อศอกและเอ็นหัวเข่าฉีก
“ตอนที่รักษาตัวช่วงแรก เราจะมีอาการมึนงง คิดช้า แล้วก็เหมือนเป็นบ้านหมุน ถ้าหันหัวเร็วๆ จะรู้สึกหมุนติ้วเลย”
ด้วยสภาพร่างกายของคนที่เจ็บหนักขนาดนั้น ณัฐพงษ์เล่าว่าแค่จะเดินไปเข้าห้องน้ำยังเป็นเรื่องยาก แต่หากใครถามว่าทำไมยังอยากกลับไปเล่นฟุตบอลอาชีพอีก เขาสามารถตอบได้โดยไม่ลังเล
“มันเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เราทำแล้วมีความสุข เวลาเราได้เล่นฟุตบอล เราจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมปัญหานอกสนาม เราจะโฟกัสอยู่กับแค่ฟุตบอล ก็เหมือนทุกคนเวลาได้ทำในสิ่งที่มีความสุข ก็ย่อมอยากทำสิ่งนั้นต่อไปอย่างแน่นอน”
ภายหลังจากการผ่าตัด ณัฐพงษ์ต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงราว 3 เดือน มันเป็นช่วงเวลาที่เขาได้ครุ่นคิด ทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องฟุตบอล เขายิ่งแน่ใจว่าตนเองรักการเล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู นับจากบ่มเพาะมาในทีมโรงเรียนเทพศิรินทร์ ก้าวไปสู่รั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมเข้าสังกัดทีมจามจุรี ยูไนเต็ด กระทั่งจบการศึกษา ก็ถูกดึงตัวเข้าสู่ทีมชัยนาท ฮอร์นบิล ซึ่งขณะนั้นเล่นอยู่ในไทยลีก 1 เมื่อปี 2016
ถึงแม้ชีวิตจะต้องมาพบจุดหักเหครั้งใหญ่ ประสบอุบัติเหตุเจียนตาย กลายเป็นผู้ป่วยร่างกายอ่อนแอ เขาก็พร้อมจะฟันฝ่าอุปสรรค เพื่อไปต่อในเส้นทางลูกหนัง
“สิ่งที่ยากคือ เราต้องรักษาตัวให้ร่างกายกลับมาเป็นปรกติก่อนครับ ซึ่งมันมีอุปสรรคมากมาย ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ตอนนั้นเราเห็นเพื่อนๆ ได้ลงเล่น ได้แข่งขัน แต่เราทำไม่ได้ เราได้แต่นอนดูการแข่งขันผ่านหน้าจอ ส่วนขั้นตอนการกายภาพ ตอนแรกเหมือนเรากลับไปเป็นเด็กหัดเดินเลยครับ แค่จะเดินไปเข้าห้องน้ำยังยากเลย คือต้องค่อยๆ เดิน ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว มันเป็นสิ่งที่เราต้องอดทน กว่าจะผ่านไปทีละขั้น กว่าจะผ่านไปแต่ละวัน เราต้องให้กำลังใจตัวเอง ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้”
ณัฐพงษ์เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้ว่า ระหว่างการกายภาพเป็นช่วงเวลาแสนสาหัสสำหรับเขา ถึงขนาดเคยวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำ เพราะร่างกายและจิตใจทนไม่ไหว โชคดีที่เขามีคนรอบข้างทั้งพ่อ แม่ คนรัก และเพื่อนๆ คอยโอบอุ้มให้กำลังใจ บวกกับพลังใจเข้มแข็งของตัวเอง ยึดหลักที่ว่าต้องอดทน ค่อยๆ ทำไปทีละขั้น สุดท้ายณัฐพงษ์สามารถก้าวข้ามกำแพงอุปสรรค ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ราว 1 ปีหลังจากรับการผ่าตัด เขาพร้อมกลับไปลงสนามซ้อมอีกครั้ง
โชคดีลำดับต่อมา สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ให้โอกาสเขาไปร่วมฝึกซ้อมเพื่อเรียกความฟิต ในช่วงปิดเลกแรกของฤดูกาล 2018
“ตอนนั้นได้พี่โต-นิพนธ์ มาลานนท์ มาเป็นโค้ชให้ ช่วงซ้อมใหม่ๆ ไม่ได้ดั่งใจ คือบางลูกง่ายๆ ที่ควรจะรับได้ ก็รับไม่ได้ บางลูกเขายิงมาตรงตัว เรายังปัดไม่ทัน เหมือนมันช้าไปทุกอย่าง การตัดสินใจไม่ดี เขาโยนมา เราออกไปปัดบอล ก็ผิดจังหวะไปหมด แล้วด้วยตอนนั้นยังเจ็บเอ็นที่ข้อศอก ทำให้เราไม่มั่นใจ แต่ก็ค่อยๆ เรียกจังหวะกลับมาได้”
ขณะนั้นสัญญาของณัฐพงษ์กับทีมชัยนาท ฮอร์นบิล หมดลงแล้ว และเขาเข้าใจดีว่าคงไม่มีสโมสรไหนกล้าเสี่ยงรับตนเข้าสังกัด ไม่มีทีมไหนติดต่อมาเลย กระทั่งวันสุดท้ายก่อนตลาดซื้อขายนักเตะจะปิด ก็ได้รับข่าวดีจากสโมสรฟุตบอลในไทยลีก 4 ทักเขาให้ลองมาทดสอบฝีเท้า
ณัฐพงษ์รีบคว้าโอกาสนั้นไม่ให้หลุดมือผู้รักษาประตู และแล้วเขาได้กลับสู่เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ แม้ลดระดับลงไปสู่ลีกล่างสุด กับต้นสังกัดใหม่อย่างสโมสรมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
“ผมเข้าไปในเลกสองของฤดูกาล แล้วมีโอกาสได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกดีมากๆ ไม่คิดเลยว่าจะเป็น T4, T2 หรือ T1 ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีคนดูเต็มสนาม ขอเพียงเราได้ไปยืนในกรอบประตูที่เราเคยยืน มันเป็นความคิดถึงที่เรารอคอยความรู้สึกแบบนี้มานานมากๆ” ณัฐพงษ์เล่าด้วยดวงตาเป็นประกาย
สิ้นสุดฤดูกาลนั้นเขาและเพื่อนร่วมทีมช่วยกันพาสโมสรมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพเลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยลีก 3 ได้สำเร็จ ขณะที่ตัวณัฐพงษ์ทำผลงานเข้าตาสโมสร พีที ประจวบ เอฟซี ในไทยลีก 1 จนตัดสินใจเซ็นสัญญาเขาเข้าร่วมทีมในฤดูกาล 2019
“ผมได้ลงเล่นให้ทีมประจวบฯ นัดแรก ตอนนั้นไปเยือนทีมเมืองทองฯ แล้วทีมชนะ 1-0 เราเก็บคลีนชีตได้ ดีใจและภูมิใจมากๆ ครับ เพราะมันเป็นความฝันที่เราอยากกลับมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง”
นับจากก้าวแรกที่กลับคืนสู่ลีกสูงสุด นำไปสู่การสร้างผลงานที่น่าภาคภูมิใจมากที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพนักฟุตบอลของ ณัฐพงษ์ ขจรมาลี เมื่อเขาช่วยพาทีม พีที ประจวบ เอฟซี ฟันฝ่าบรรดาทีมคู่แข่งในรายการฟุตบอลถ้วย โตโยต้า ลีกคัพ 2019 จนกระทั่งได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับทีมยักษ์ใหญ่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่สนามเอสซีจี สเตเดียม
ณัฐพงษ์เล่าว่าเขาลงสนามเป็นตัวจริงโดยไม่รู้สึกกดดัน แม้ว่าทีมจะเป็นรอง “เรามาไกลเกินกว่าที่หวังไว้แล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคือกำไร ไม่ว่าผลจะออกมายังไง เราสามารถเชิดหน้ารับได้”
สื่อมวลชนรายงานการแข่งขันนัดนั้นว่า ณัฐพงษ์รับบทฮีโร่ เซฟตลอดทั้งเกม ในเวลาเสมอกัน 1-1 ประตู จนถึงช่วงต่อเวลายังทำอะไรกันไม่ได้ นำไปสู่การยิงจุดโทษที่บีบหัวใจ
แล้วก็เป็นณัฐพงษ์ที่ป้องกันลูกยิงประตูของ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ได้สำเร็จ ส่งให้ทีมต่อพิฆาตเอาชนะปราสาทสายฟ้า ด้วยสกอร์รวม 9-8 ประตู กลายเป็นค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์ของ พีที ประจวบ เอฟซี ที่ผงาดคว้าแชมป์แรกของสโมสร พร้อมกันนั้น ณัฐพงษ์ ขจรมาลี ยังได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ประจำทัวร์นาเมนต์นี้อีกด้วย
“แน่นอนเรารู้สึกดีใจ ภูมิใจในตัวเองและเพื่อนร่วมทีมที่สามารถคว้าแชมป์ได้ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือเราภูมิใจในตัวเองที่สามารถเอาชนะ... ไม่ใช่เอาชนะคู่แข่ง แต่เราเอาชนะตัวเองได้ เราเอาชนะอุปสรรคที่เคยถาโถมมา ปัญหาที่เคยมีมากมาย เราอดทนจนมีวันนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจมากกว่าการได้แชมป์เสียอีก” ณัฐพงษ์เผยความรู้สึก
จนกระทั่งทุกวันนี้ บนกะโหลกของณัฐพงษ์ยังมีนอตโลหะฝังอยู่อย่างถาวร แผลเป็นจากการผ่าตัดยังทิ้งร่องรอยอยู่บนร่างกาย แต่ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือ เขาบอกว่าจิตใจตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก เพราะได้เรียนรู้หลายอย่างจากประสบการณ์วิกฤติของชีวิต
“เราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากนี้หนึ่งปี หลังจากนี้หนึ่งเดือน หรือหลังจากนี้หนึ่งวันจะเกิดอะไร สิ่งที่เราทำได้คือ ต้องทำทุกวันให้เต็มที่ เราต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถทำทุกอย่างที่อยากทำ ทำในสิ่งที่เรารัก คือลุยเลยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ฤดูกาลปัจจุบันณัฐพงษ์ยังเล่นให้กับสโมสร พีที ประจวบ เอฟซี จากคนที่เกือบถูกอุบัติเหตุคร่าชีวิต ร่างกายบอบช้ำแทบไม่เหลือสภาพ แต่ด้วยหัวใจไม่ยอมแพ้ ในที่สุดเขาได้กลับมาสู่ผืนหญ้าสนามแข่งขัน ได้ยืนอยู่ในกรอบประตูฟุตบอลที่เขาบอกว่า มันเป็นพื้นที่ที่เขามีความสุขมากที่สุด
TAG ที่เกี่ยวข้อง