stadium

"ความเชื่อ กับ ฟุตบอล(ไทย)" สำรวจสิ่งที่แข้งไทยใช้เติมพลังใจก่อนลงสนาม

26 กุมภาพันธ์ 2564

"ความเชื่อ กับ ฟุตบอล (ไทย)"

สำรวจสิ่งที่แข้งไทยใช้เติมพลังใจก่อนลงสนาม
 

ในแต่ละสังคมย่อมประกอบไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา พร้อมกับแนวคิดที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละสังคมจะถูกสอดแทรกไปด้วย “ความเชื่อ” มากมายหลายแขนงมาตั้งแต่โบราณกาล

 

โลกของฟุตบอลก็เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ คงมีเพียงจุดประสงค์เดียวที่ทำให้ความเชื่อเหล่านั้นยังคงอยู่ก็คือ

 

“ชัยชนะ”

 

ความเชื่อเพื่อ “ชัยชนะ” ที่ว่านั้น บ้างก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงาย ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือเห็นชัดเจนเชิงประจักษ์ หากแต่ความเชื่อต่างๆ ก็ยังฝังรากลึกอยู่ในสัญชาตญาณมนุษย์เสมอไม่มีเปลี่ยน อาจเป็นเพราะ “ความเชื่อ” ต่างๆ นั้นมีผลต่อ “กำลังใจ” โดยตรง หรือช่วยเสริมสร้างความมั่นใจก่อนที่นักเตะคนนั้นๆ หรือทีมจะลงทำการแข่งขันนั่นเอง

 

ความเชื่อแรกๆ ที่เรามักจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนในวงการลูกหนังบ้านเราก็คือ “การไหว้เคารพเจ้าที่” บริเวณสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝั่งของทีมเหย้า หรือทีมเยือน ที่ในมือของนักกีฬา จะเชื้อชาติไหน หรือศาสนาใดหาใช่เรื่องสำคัญ เพราะในมือของทุกคนนั้นจะประกอบไปด้วยดอกไม้สด ธูป หรือเทียน พร้อมกับการเอ่ยวิงวองขอให้ทุกอย่างนั้นเป็นใจทันทีที่ก้าวลงมาจากรถบัสสโมสร ก่อนจะเดินทางไปเรียกสมาธิต่อในห้องแต่งตัว

 

หรือที่เห็นชัดเจนล่าสุดก็คงเป็นที่ แพท สเตเดี้ยม หลังผู้ตัดสินต้องหยุดเกมเพื่อให้เจ้าหน้าที่นำกลุ่มธูปกำใหญ่ที่ปักอยู่บริเวณเส้นข้างสนามให้ออกไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของนักกีฬา ก็เป็นสิ่งที่ฮือฮา จนสื่อกีฬานำไปเป็นประเด็นกันไม่น้อยเกี่ยวกับ “ความเชื่อ” ของแต่ละทีม

 

สำหรับนักเตะหลายๆ คน ก็อาจมีความเชื่อต่อยอดมากกว่าการไหว้เจ้าที่ก็คือ การถือเคล็ด หรือโชคลางต่างๆ ทั้งการเลือกใส่รองเท้าข้างไหนก่อน หรือสวมใส่อะไรเป็นชิ้นแรกบนร่างกาย (เสื้อ, กางเกง, ถุงเท้า) เช่นเดียวกับตำแหน่งการยืนในอุโมงค์เพื่อเดินลงสนาม การพยายามเลือกเอาแดนที่ต้องการเล่นให้ได้ การให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในทีมกล่าวพ่นคาถาใส่บนปลอกแขน กระทั่งการตัดสินใจไม่ยอมทานไข่ต้มในวันแข่งขัน เนื่องจากไข่มีลักษณะที่คล้ายกับเลขศูนย์ ซึ่งในโลกของกีฬานั้นหมายถึงความพ่ายแพ้ หรือที่หนักสุดที่ผมเองเคยพบเจอก็คือ บางคนเลือกที่จะไม่ปริปากพูดกับใครเลยจนกว่าเสียงนกหวีดแรกจะดังขึ้น

 

หากในมุมของสโมสร แน่นอนว่า “ความเชื่อ” ที่ปรากฎให้เห็นเด่นชัดมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “สีเสื้อ” เพื่อให้ถูกโฉลกกับทีมตัวเองไม่ว่าจะเป็นยามลงสนามในฐานะเจ้าบ้าน ทีมเยือน หรือหากจะต้องหาสีเสื้อมาแก้ทีมคู่แข่งที่วางฮวงจุ้ยมาดี สโมสรก็ยังมีเสื้อสีที่สามเพื่อแก้ปมดังกล่าว

 

เรื่องของ “โลโก้” เองก็เป็นประเด็นที่น่าจับตามอง เพราะหลายๆ ทีมในบ้านเราล้วนแต่ใช้หลักการออกแบบโดยผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับศาสตร์ที่มองไม่เห็น ผสมเข้าไปพร้อมกับศิลปะสมัยใหม่ จนออกมาเป็นโลโก้ที่สะท้อนให้เห็นถึง “พลัง และอำนาจ” ส่งผลต่อจิตวิทยาทั้งผู้เล่น ผู้บริหาร และแฟนบอลโดยตรง

ทั้งนี้ ความเชื่อทุกอย่างล้วนแต่ตอบโจทย์กับเป้าหมายข้างต้นนั่นคือ เพื่อให้ตัวเองทำผลงานได้ดี แคล้วคลาดไม่มีอาการบาดเจ็บ และพาต้นสังกัดประสบผลสำเร็จในเกมนั้นๆ...

 

บางคนเริ่มมีการตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วคนในวงการกีฬาควรจะหันมาให้ความสำคัญกับ “วิทยาศาสตร์” มากกว่ารึเปล่า เพราะนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่สามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม หากแต่เพราะสังคมไทยนั้นล้วนแต่ถูกผสมผสานด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย อีกทั้งความเชื่อทางใจที่กล่าวมานั้นเป็นความเชื่อพื้นฐานที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน แต่ละคนต่างยึดถือปฏิบัติกันในชีวิตประจำวันจนเป็นเรื่องเคยชิน ดังนั้น ทุกสิ่งที่อยู่ในโลกของฟุตบอล จึงหาใช่เรื่องใหม่ของสังคมไทยแต่อย่างใด

เราคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่า “ความเชื่อ” ที่เอ่ยมาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูก หรือผิด ? เพราะทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะเชื่อ ศรัทธา และปฏิบัติตามมุมมองของตน บนเงื่อนไขที่ไม่ทำให้ใครคนอื่นต้องเดือดร้อน ผมมองว่าแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอ อีกทั้งหากเรามองในมุมของ “หลักจิตวิทยา” แน่นอนว่าทุกอย่างที่แต่ละคนทำไป ล้วนแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง เพื่อทีม และแฟนบอล

 

ดังนั้น หาก “ความเชื่อ” นั้นมันจะทำให้ใครสักคนเกิดความรู้สึกที่ดีก่อนที่จะลงไปทำภารกิจ หรือหน้าที่ที่เต็มไปด้วยความหวัง หรือความฝันของผู้คนมากมาก ก็คงไม่ผิด หรือแปลกอะไรที่ “ความเชื่อ” ต่างๆ จะยังคงอยู่ และเดินควบคู่ไปกับการพัฒนาของฟุตบอลไทยอย่างแน่นอน…


stadium

author

“เก้น” นิติพงษ์ ยวนตระกูล

ผู้บรรยายฟุตบอล และบรรณาธิการกีฬา ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนังอย่างจริงจังโดยเฉพาะฟุตบอลไทย จนตัดสิ

โฆษณา