stadium

ทำความรู้จัก 13 นักแบดมินตันไทยก่อนลุยศึกใหญ่ 3 รายการ

11 มกราคม 2564

 

 

ศึกใหญ่ 3 รายการ กำลังจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว อย่าลืม "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เชียร์แบดไทย" ผ่านการรับชมการถ่ายทอดสดได้ที่ ทรูวิชั่นส์ ,ทรูโฟร์ยู, TNN16 และทรูไอดี ได้ทุกการแข่งขัน 1) โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น ระหว่างวันที่ 12-17 ม.ค.64 , 2) โตโยตา ไทยแลนด์ โอเพ่น วันที่ 19-24 ม.ค. 64 และ 3) เอชเอสบีซี บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์ วันที่ 27-31 ม.ค. 64

 

และนี่คือเหล่าขุนพลเอกของทัพลูกขนไก่ไทยที่จะออกไปรบเพื่อนำความสำเร็จมาฝากพี่น้องคนไทย (เล่นใหญ่เว่อร์5555) ก่อนอื่นนั้น(เสียงพี่เป้าสายัณห์) เพื่อเพิ่มอรรถรสในการชมและชมและเชียร์ เราจะพาไปทำรู้จักเขาและเธอทั้ง 13 คนกันบ้างเป็นใครมาจากไหน มีจุดเริ่มต้นอย่างไร ไปยลโฉมหน้าและอ่านเรื่องราวความยอดเยี่ยมของพวกเขากัน

 

 

กันตภณ หวังเจริญ ชายเดี่ยวมือ 15 ของโลก
มามะมารู้จัก วันนี้เป็นคิวของ กันตภณ หวังเจริญ หนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ที่มีแฟนคลับสาวๆติดตรึม แต่เขาไม่ได้มีดีแค่รูปร่างหน้าตา เพราะฝีมือแบดมินตันก็ไม่น้อยหน้าใคร มีดีกรีเป็นถึงเจ้าของเหรียญทองแดงชิงแชมป์โลกคนแรกของฝั่งนักแบดชายไทย และเคยเอาชนะนักแบดระดับโลกอย่าง หลิน ตัน , เฉิน หลง มาแล้ว เด็กคนนี้มีจุดเด่นอะไร มามะเดี๋ยวเราจะพาไปทำความรู้จักกับเขากัน

1)จุดเริ่มต้นของกันมาจากเล่นกีฬาเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้ เขาจึงเลือกจับไม้แบดและมีความฝันอยากเป็นนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติ

2)ในระดับเยาวชน กัน คือยอดฝีมือระดับแนวหน้าของรุ่น เคยเป็นมือ 1 เยาวชนโลกในปี 2016 จากผลงานที่ผ่านเข้ารอบลึกๆได้หลายรายการ ผลงานเด่นสุดคือการคว้าอันดับ 3 เยาวชนชิงแชมป์โลกและเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย รวมถึงรองแชมป์รายการระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ชาลเลนจ์ อีก 1 รายการ

3)จุดเด่นของ กัน อาจไม่ใช่เรื่องรูปร่างที่สูงใหญ่ ส่วนสูงแค่ 170 กว่า ๆ แต่ถูกชดเชยด้วยความแข็งแรง ความคล่องตัวที่สามารถตามเก็บทุกลูกได้แบบแรงไม่มีหมด มีพลังตบที่น่าเหลือเชื่อเป็นอาวุธลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในระดับเยาวชน

4)ปี 2017 กัน ก้าวขึ้นสู่ระดับโอเพ่นแบบเต็มตัว แถมเปิดปีศักราชด้วยฟอร์มอันร้อนแรงประเดิมด้วยรองแชมป์ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส แต่ทว่ามันกลับเหมือนไฟจากไม้ขีดที่จุดสว่างเพียงครู่เดียวแล้วมอดลง เพราะหลังจากนั้นเป็นเวลาปีกว่า ๆ ที่เขาหายหน้าหายตาไปจากความสำเร็จ

5)อย่างไรก็ตามแต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะด้วยวัย 20 ปีเพิ่งก้าวจากระดับเยาวชนสู่ระดับโอเพ่นแบบเต็มตัว ที่ต้องการเวลาปรับตัวเพื่อทำความคุ้นเคยกับความเร็วของเกมและความแข็งแรง รวมถึงประสบการณ์ที่เป็นรองคู่แข่ง แต่ก็ยังไม่วายช็อควงการด้วยการโค่น เฉิน หลง และ หลิน ตัน 2 ยอดฝีมือจากจีนลงได้ในปี 2018

6)เมื่อเริ่มปรับตัวและจับจุดได้ ปี 2019 จึงเป็นปีที่ กัน ทำผลงานได้ดีที่สุดในชีวิต คว้าเหรียญทองแดงในศึกชิงแชมป์โลกเขียนบันทึกบนใหม่ลงหน้าประวัติศาสตร์ , ได้เหรียญทองแดงสุธีรมาน คัพ และปิดท้ายด้วย 2 เหรียญทองซีเกมส์ จากผลงานทั้งหมดส่งผลให้เขารั้งที่ 12 ของโลกซึ่งเป็นอันดับสูงสุดในชีวิต มีโอกาสสูงที่จะได้เข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

7)ช่วงเวลา 3-4 ปีมานี้ สิ่งหนึ่งที่ กัน ได้เรียนรู้คือการโฟกัสอยู่กับเกมการเล่น ปรับปรุงและแก้ไขข้อเสียของตัวเอง เพราะการเล่นด้วยพละกำลังหรือบุกไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียวเหมือนสมัยเยาวชนคงจะเป็นเรื่องยากหากจะประสบความสำเร็จ

8)ยังมีอีกหลายกลยุทธ์และหลายองค์ประกอบที่พาตัวเองไปถึงฝั่งฝัน และเขาเองก็เชื่อว่าหากสามารถปรับปรุง ยกระดับคุณภาพขีความสามารถของตัวเองขึ้นมาได้ ความสำเร็จต่างๆก็ตามมาโดยอัตโนมัติ

 

 



สิทธิคมน์ ธรรมศิลป์ นักแบดมินตันชายเดี่ยวมือ 25 ของโลก
 

สิทธิคมน์ หรือ โอ๊ต หนึ่งในนักแบดมินตันชายเดี่ยวระดับแถวหน้าของเมืองไทย 🇹🇭 แม้ว่าผลงานอาจไม่ปังจนยึดพื้นที่สื่อได้เหมือน เมย์ รัชนก หรือ บาส-ปอป้อ แต่ความสามารถของนักแบดมินตันคนนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเป็นนักแบดไทยเพียงไม่กี่คนที่เคยสัมผัสแชมป์ระดับเวิลด์ทัวร์มาแล้ว

1)โอ๊ต สังกัดกับสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย แจ้งเกิดตั้งแต่อายุ 15 คว้าแชมป์แรกคือเอสซีจี จูเนียร์แชมเปี้ยนชิพ 2010 ความสำเร็จดังกล่าวเป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้เขาพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

2)หลังจากนั้นความสำเร็จก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา ในวัยเพียง 16 เขาก็คว้าแชมป์ชายเดี่ยว ยู 19 จูเนียร์ชาลเลนจ์โอเพ่น แบดมินตันแชมเปียนชิพ ที่ประเทศอินโดนีเซีย ปีต่อมาได้รองแชมป์ชายเดี่ยวในศึกชิงแชมป์ประเทศได้ รายการนี้แม้จะไม่ได้ที่ 1 แต่มันทำให้เขารู้ตัวแล้วว่าถึงเวลาออกไปหาความท้าทายนอกประเทศแบบจริงจังซะที

3)ในวัย 17 ปี โอ๊ต เริ่มต้นจากระดับโปรชาลเลนจ์เพื่อเก็บคะแนนทำอันดับโลกเข้าสู่ระดับเวิลด์ทัวร์ในอนาคต แม้รู้ดีว่าไม่ใช่งานง่าย แต่เขาก็พร้อมจะพิสูจน์ตัวเอง และในปีเดียวกันนี้เองในที่สุดเขาก็คว้าถ้วยแชมป์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนลได้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้โลดแล่นระดับเวิลด์ทัวร์มาตลอด

4)จนถึงตอนนี้ โอ๊ต สิทธิคมน์ ลงแข่งในระดับอาชีพมาแล้ว 227 เกม ชนะ 147 แมตช์ เคยขึ้นถึงมือ อันดับ 21 ของโลกสูงที่สุดในชีวิตช่วงเดือนมิถุนายน 2019

5)ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาคือการคว้าแชมป์ระดับเวิลด์ทัวร์ได้ 2 รายการ คือ อคิตะ มาสเตอร์ส 2018 ที่ญี่ปุ่น และ มาเก๊า โอเพ่น 2019 โดยเฉพาะรายการหลัง เป็นรายการระดับเวิลด์ทัวร์ 300 ซึ่งในรอบชิงพลิกล็อคเอาชนะ ฉี ยู่ฉี มือวาง 1 ของรายการ มืออันดับ 6 ของโลกจากจีนในเวลานั้นไป 2-1 เกม

[ ผลงานระดับอาชีพ ]

🏆 แชมป์ Singapore International 2012 รายการระดับ International Series

🏆แชมป์ Smiling Fish International 2013 รายการระดับ International Series

🏆 แชมป์ Tata Open India International ระดับ Inter Challenge

🏆 แชมป์ Yonex Akita Master 2018 ที่ญี่ปุ่น รายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 100

🏆แชมป์มาเก๊า โอเพ่น 2019 รายการระดับ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300

 

 

 

กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยว มือ 29 ของโลก

ได้รบการยกย่องจากบรรดากูรูและคนในวงการแบดมินตัน ว่ามีคุณสมบัติของนักแบดระดับโลกครบถ้วน 🏆 การันตีฝีมือด้วยการครองแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อน เป็นผลงานระดับมาสเตอร์สพีช ที่มีแค่ "เมย์" รัชนก คนเดียวที่ทำได้

1)ตอนเด็กๆ วิว มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เป็นภูมิแพ้ค่อนข้างรุนแรงป่วยบ่อย เข้าโรงพยาบาลแทบทุกสัปดาห์ แพทย์ที่ดูแลแนะนำให้ วิว เล่นกีฬาออกกำลังกายจะได้มีร่างกายที่แข็งแรง

2)โชคดีของ วิว ที่มีคุณพ่อเป็นโค้ชสอนแบดมินตันอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมากเลยว่าจะเล่นกีฬาอะไร ในช่วงเริ่มต้นเขาเล่นเพราะแค่อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่พอเล่นไปเล่นมากลับรู้สึกสนุกและอยากจริงจังกับมันมากขึ้น จึงไปสมัครเข้าชมรมแบดมินตันแถวบ้าน

3)วิว ต้องฝึกฝนพื้นฐานอย่างเป็นระบบ การจับไม้ ฟุตเวิร์ค เทคนิคต่างด้าน ๆ พออายุได้ 13 ปี ก็ย้ายมาอยู่ที่สโมสรแบดมินตันบ้านทองหยอด โรงเรียนสอนแบดมินตันชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลุกปั้น เมย์ รัชนก ให้เป็นแชมป์โลกมาแล้ว

4)ที่บ้านทองหยอด เขาเสียสละชีวิตวัยรุ่นไปเกือบทั้งหมด ต้องเรียนการศึกษานอกระบบ เพื่อเอาเวลามาทุ่มเทให้กับฝึกซ้อมวันละ 6-7 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้เขาแลกมาเพื่อทำให้ความฝันของเขาเป็นจริง

5)หนึ่งสิ่งที่หลายคนยังไม่รู้ วิว เป็นเด็กที่มีทัศนคติที่ดีมาก ๆ ต้องฝากคำชมเชยไปถึงครอบครัวที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มาดีมาก เมื่อก่อนเขาอาจจะเล่นแบดเพื่อสุขภาพ แต่ตอนนี้เขาอยากเล่นแบดเพื่อครอบครัว อยากคว้าแชมป์ให้มากที่สุด มีรายได้มาแบ่งเบาภาระในครอบครัว ถึงตอนนี้รายได้ที่เขามีสามารถช่วยครอบครัวผ่อนบ้าน ซื้อรถและดูแลตัวเองได้หมดแล้ว

6)ส่วนอีกหนึ่งความฝันในฐานะนักแบด คือการเป็นแชมป์โลก , แชมป์โอลิมปิกและ แชมป์ออล อิงแลนด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีนักแบดไทยเคยทำได้มาก่อน

7)ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เขาลงแข่งในระดับจูเนียร์ กวาดแชมป์ของ BWF มากถึง 11 รายการ นอกจากนั้นยังครองแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยติด (2017-2019) , แชมป์เยาวชนเอเชีย , เหรียญเงินยูธโอลิมปิก และครองมือ 1 เยาวชนโลก

8)ส่วนผลงานในระดับโอเพ่น วิว ได้ปะมือกับนักแบดระดับโลกมากขึ้น แต่เขาก็ยังฝ่าฟันเข้าถึงรอบชิงในระดับเวิลด์ทัวร์ 300 ได้แล้ว 1 รายการ , คว้าแชมป์ระดับอินเตอร์เนชั่นแนล อีก 5 รายการ คะแนนสะสมล่สุดอยู่ที่ 28 ของโลก สามารถลงแข่งขันรายการระดับเวิลด์ทัวร์ 1000 ได้แล้ว

9)ครั้งหนึ่ง อ.อุดม เหลืองเพชราภรณ์ ผู้ฝึกสอนจากบ้านทองหยอดเคยให้สัมภาษณ์กับ BWF โดยยกย่องเด็กหนุ่มคนนี้ว่า “มีทักษะดีคล้ายกับ บุญศักดิ์ พลสนะ ดีพอที่จะสู้กับใครก็ได้ในโลกนี้ มีความโดดเด่นมาก ๆ ในเรื่องรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย มีเทคนิคดีสามารถเล่นช็อตยาก ๆ ได้และอันตรายมากเมื่ออยู่ใกล้ตาข่าย ที่สำคัญคือเขารู้วิธีที่ทำให้คู่แข่งเล่นยาก คือไม่สามารถเดาได้เลยว่าเขาจะตีไปทางไหน”

10)“เขามีทักษะที่จะเล่นงานใครก็ได้ เขาสามารถติดท็อป 10 เอาชนะผู้เล่นดีๆมาแล้วมากมาย ถ้าเขาฟิตก็ไม่มีปัญหา เขาดีมากอยู่แล้ว คุณสามารถเห็นเขาเล่นหลายทัวร์นาเมนต์ในปีนี้ เข้ารอบชิงชนะเลิศได้หลายครั้ง มันหมายความว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่ง”

11) สรุปโดยภาพรวมจากความสามารถ ความพร้อมทางด้านจิตใจ ความมุ่งมั่น ขาดแค่ประสบการณ์และความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายที่ต้องเสริมเข้าไป แต่ด้วยทัศนคติที่ดี และคุณสมบัติที่ถูกหลอมรวมอย่างลงตัว อย่าได้แปลกใจหากว่าในอนาคต 3-4 ปีข้างหน้า หากเราเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในระดับเดียวกับ เมย์ รัชนก

 

 

 

เดชาพล พัววรานุเคราะห์ คู่ผสมมือ 3 ของโลก

 

“ความสามารถของ “บาส” เหมาะจะเล่นคู่มากกว่า มีโอกาสไปได้ไกลกว่าเล่นประเภทเดี่ยว” จากปากของ “โค้ชโอม” เทศนา พันธ์วิศวาส หัวหน้าผู้ฝึกสอนแบดมินตันแห่งค่ายเอสซีจี สายตาเฉียบแหลมเขามองเห็นคุณสมบัติของศิษย์รักคนนี้ ก่อนจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กำเนิดคู่ผสมไทยที่ดีสุดในรอบทศวรรษ

1) บาส เป็นเด็กที่ชื่นชอบการเล่นกีฬา ฟุตบอล เทนนิส กรีฑา สัมผัสมาหมดแล้ว แต่สุดท้ายเขาเลือกจริงจังกับแบดมินตัน เพราะเป็นกีฬาที่เล่นในร่มและไม่ต้องปะทะกับคู่แข่ง

2) สโมสรแบดมินตันศรีราชา เป็นสถานที่แรกที่บาสได้เข้าไปขัดเกลาฝึกทักษะ เขาเติบตาโดยมี “แมน” บุญศักดิ์ พลสนะ นักแบดมินตันชายเดี่ยวมือ 1 ของโทยเป็นไอดอล

3) ฝีมือของ บาส พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ประสบความสำเร็จเสมอเวลาไปแข่งขันรายการต่าง ๆ ในประเทศ คว้าแชมป์ได้ทุกรุ่นอายุ ตั้งแต่ยุวชน 11 ปี 13 ปี 15 ปี จนได้รับความสนใจจากหลาย ๆ สโมสร

4) ปี 2010 บาสได้เซ็นสัญญาเข้าไปอยู่ในโครงการ เอสซีจี แบดมินตัน อคาเดมี่ ซึ่งที่แห่งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นนักกีฬาแบดมินตันอาชีพของเขา

5) แม้จะคว้าแชมป์ชายเดี่ยวได้ทุกรุ่นอายุ แต่ว่าในสายตาของ “โค้ชโอม” เทศนา พันธ์วิศวาส กลับมองว่า บาส นั้นมีคุณสมบัติที่เหมาะกับการเป็นนักแบดประเภทคู่มากกว่า ครบเครื่องทั้งด้านพละกำลัง ความแข็งแรง ความเร็ว ทำให้เขาเชื่อว่าบาสจะประสบความสำเร็จในระดับอาชีพได้มากกว่าการเล่นคนเดียวแน่ ๆ

6) แม้จะไม่เชื่อสนิทใจแต่ บาส ก็ไม่ปฏิเสธที่ลองจับคู่ ซึ่ง “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน เป็นคู่หูคนแรกของเขาในปี 2012 ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปี ทั้งคู่ก็คว้าแชมป์เยาวชนโลกได้สำเร็จ และถือแชมปโลกประเภทที่ 3 ของไทยต่อจาก รัชนก อินทนนท์ หญิงเดี่ยว , มณีพงศ์ จงจิตร กับ รจนา จุฑาบัณฑิตกุล คู่ผสม

7) หลังจากนั้น บาส ก็ไม่กลับไปตีเดี่ยวอีกเลย เล่นแต่ประเภทคู่ มีโอกาสได้จับคู่ทั้งหมด 8 คน แต่ที่ประสบความสำเร็จจนสร้างชื่อมากที่สุดคือการจับคู่กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ในประเภทคู่ผสม

8) บาสกับปอป้อ จับคู่กันปลายปี 2015 ใช้เวลาปีครึ่งก็ขึ้นอยู่ Top 20 ของโลก หลังจากนั้นแค่ 6 เดือนก็ก้าวขึ้นไปติด Top 10 ปัจจุบันทั้งคู่รั้งมือ 3 ของโลกในประเภทคู่ผสม และคว้าแชมป์ร่วมกันมาแล้วทั้งหมด 5 รายการ

9) จากผลงานที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้ ทำให้ บาส กับ ปอป้อ กลายเป็นความหวังของแบดมินตันไทยในการคว้าเหรียญโอลิมปิกเกมส์ 2020

10) ถือเป็นตัวอย่างของนักกีฬาที่กล้าเปิดใจและเชื่อฟังโค้ชจนประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพ หากวันนั้น บาส ดึงดันจะเล่นแต่ประเภทเดี่ยว ไม่เชื่อโค้ชโอม วันนี้เราอาจไม่ได้เห็นความสำเร็จของนักแบดที่ชื่อ เดชาพล พัววรานุเคราะห์
 

 

 

รัชนก อินทนนท์ หญิงเดี่ยวมือ 5 ของโลก
เธอคือนักแบดมินตันไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ครองแชมป์โลกตั้งแต่อายุ 18 ปี เป็นผลงานสุดมหัศจรรย์ ที่ส่งต่อแรงบันดาลใจ และปลุกความเชื่อสร้างศรัทธาว่านักแบดไทยก็สามารถก้าวเป็นแชมป์โลกได้เหมือนกัน

1)เด็กสาวตัวน้อยลูกพนักงานโรงงานทำขนมหวาน “บ้านทองหยอด” จากเด็กที่วิ่งเล่นซุกซนไปวันๆ ถูกจับให้ซ้อมแบดมินตันโดยหวังให้เป็นนักกีฬาอาชีพในวันข้างหน้า

2)เมย์ มีฝันอยากทำให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ในแต่ละวันเธอต้องซ้อมไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมง เวลาว่างนอกจากนั้นเธอใช้ไปกับการศึกษานอกระบบ มีเส้นชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยกว่าเด็กรุ่นเดียวกันนับล้านคน

3)แต่เพราะความมุ่งมั่นที่ทำให้ความเป็นอัจฉริยะเปล่งประกายออกมาตั้งแต่ต้น เธอใช้เวลาแค่ 1-2 ปี แบกอายุคว้าแชมป์รายการในประเทศในรุ่นที่โตกว่าได้เป็นว่าเล่น

4)ก่อนจะมาแจ้งเกิดแบบเต็มตัวในปี 2009 ด้วยวัยแค่ 14 ปี เธอคว้าแชมป์เยาวชนโลกสมัยแรก , ครองแชมป์ประเทศไทย และได้รองแชมป์หญิงเดี่ยวซีเกมส์

5)เมย์ ฉายความยอดเยี่ยมออกมาแบบไม่มีหมด ชนิดที่เอาช้างมาฉุดก็หยุดเธอไม่ได้ หลังจากนั้นเธอกวาดแชมป์เยาวชนโลกเพิ่มอีก 2 สมัย กลายเป็นนักแบดคนแรกในโลกที่ครอง 3 แชมป์ปีติด

6)ในปี 2012 ได้ไปโอลิมปิก ลอนดอนเกมส์ ครั้งแรกตอนอายุ 17 หลังจากนั้นปีเดียวเธอก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิต เป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่คว้าแชมป์โลก โดยเอาชนะ ลี เสี่ยว เร่ย แชมป์โอลิมปิกคนล่าสุดจากจีน พร้อมสร้างสถิติเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์

7)เท่านันยังไม่พอเธอยังย้ำแค้นนักแบดจากแดนมังกร คว้าแชมป์หญิงเดี่ยวในศึกชิงแชมป์เอเชียครั้งแรกในปี 2015 ก้าวขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกในปี 2016 ปัจจุบันในวัยเบญจเพศเธอผ่านโอลิมปิกมา 2 สมัยและกวาดแชมป์มาแล้วมากกว่า 20 รายการ

8)น้องเมย์ ยังเป็นนักแบดมินตันคนหนึ่งที่รักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างคงเส้นคงวา เพราะนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2012 เป็นต้นมา เธอไม่เคยหลุดจาก Top 10 ของโลกมานานเกือบ 9 ปีแล้ว

9)อย่างไรก็ตามความสำเร็จทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความตั้งใจจริง ความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ผสมกับทัศนคติที่ดีและมีระเบียบวินัย สร้างให้เธอเป็นนักกีฬาอาชีพที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ไม่แปลกใจว่าทำไมนักกีฬารุ่นหลังถึงได้ยกย่องให้เธอเป็นไอดอล

10)ความสำเร็จของรัชนกได้กลายเป็นแรงบันดาลใจส่งต่อถึงนักกีฬารุ่นใหม่ให้กล้าคิดกล้าฝันถึงการเป็นนักกีฬาระดับโลก เปรียบเสมือนบัวรดน้ำเมล็ดพันธุ์ใหม่ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ มีส่วนร่วมสร้างนักแบดดาวรุ่งอนาคตไกล อาทิ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ , “จิว” พิทยาภรณ์ ไชยวรรณ รวมถึง “พิงค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ จนเป็นความหวังใหม่ของวงการ

 

 

บุศนันทนท์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ หญิงเดี่ยวมือ 12 ของโลก

กว่าจะสร้างนักกีฬาทีมชาติได้หนึ่งคนหลาย ๆ ครอบครัวต้องยอมลงทุนหมดเงินไปหลายล้านบาทเพื่อส่งให้เด็ก ๆ ได้ตามหาฝันก้าวขึ้นไปติดทีมชาติ ครอบครัวของ “ครีม” บุศนันทนท์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ คือหนึ่งในนั้น เรื่องราวของเธอกว่าจะติดทีมชาติ ต้องตื่นแต่เช้าไปเรียนหนังสือ เลิกเรียนก็ต้องเดินทางเป็นชั่วโมงเพื่อไปซ้อม เสียค่ารถแท็กซี่เดือนละเป็นหมื่นแลกกับการตามหาความฝัน

1) จับไม้แบดครั้งแรกตอนอายุ 6 ขวบ ใช้เวลาฝึกซ้อมแบบจริงจังแค่ปีเดียวก็ลงแข่งได้เหรียญทองแดงในรุ่นอายุ 9 ขวบ

2) ครีม เติบโตขึ้นมาโดยมี พรทิพย์ บูรณประเสริฐสุข กับ โสรัจจา จันทร์ศรีสุคต เป็นไอดอล เธอฝันไว้ว่าอยากจะเก่งให้ได้เหมือนรุ่น เก็บเอามาเป็นแรงบันดาลใจมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง

3) ตอนเด็ก ๆ ครีม มักจะฉายแววเก่งเกินวัยเหมือนนักแบดทีมชาติรุ่นก่อน ๆ แข่งข้ามรุ่นและคว้าแชมป์ได้ตลอด อายุ 13 คว้าแชมป์รุ่น 15 พออายุ 15 ก็ได้แชมป์รุ่น 18 ปี

4) ตอนอายุ 15 เด็ก ๆ หลายคนยังคงตื่นเต้นกับบัตรประชาชนใบแรกอยู่เลย แต่สำหรับครีมชีวิตเธอมีเรื่องใหญ่ให้น่าตื่นเต้นมากกว่านั้น เพราะความเก่งเกินวัย ทำให้ถูกเรียกตัวไปซ้อมกับทีมชาติร่วมกับ บุญศักดิ์ พลสนะ , กุลชลา วรวิจิตรชัยกุล , สุดเขต ประภากมล และสราลีย์ ทุ่งทองคำ

5) เป็นเรื่องที่เหมือนความฝันก็จริง แต่สำหรับเด็ก ม.ต้น ที่กำลังจะขึ้น ม.ปลาย มุมหนึ่งมันคือการเดินทางมาถึงทางแยกที่ต้องเลือกระหว่างการเรียนหรือแบดมินตัน

6) แม้เสียงหัวใจจะเลือกแบด แต่เธอก็ไม่อยากทิ้งการเรียน ต้องการจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเรียนกับกีฬานั้นไปด้วยกันได้ เท่ากับว่าชีวิตของเธอจะต้องทำภารกิจหลักถึง 2 ทางเป็นความยากที่แม้กระทั่งคนโตกว่าก็ยังกล้าเสียสละตัวเองขนาดนั้น

7) กิจวัตรประจำวันของ ครีม ตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนสวนกุหลาบนนท์ เลิกเรียน 4 โมงเย็น แม่นั่งแท็กซี่มารับไปส่งที่สนามซ้อมสนามเอ็นแอนด์เค ซอยแบริ่ง บางนา ค่ารถไปกลับวันละ 400 บาท แค่ค่ารถเดือนนึงก็ไม่น้อยกว่า 10,000 บาทแล้ว วนลูบอยู่แบบนี้ทุกวันเป็นเวลา 3 ปีจนเรียนจบมัธยมปลาย 

8) แม้จะรับศึกหนักทั้ง 2 ด้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฝีมือด้านกีฬาหยุดพัฒนา กลับทำให้เธอก้าวกระโดดด้วยซ้ำ หลังจากซ้อมกับทีมชาติได้ปีเดียว ในวัย 16 ปี ก็ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ มาเลเซีย โอเพ่น ปี 2012 ซึ่งเป็นแชมป์อาชีพรายแรกในชีวิต

9) ตลอดการรับใช้ทีมชาติ 8 ปี เธอผ่านมาแล้วทุกรายการ คว้าเหรียญรางวัลมาได้หมด ทั้งซีเกมส์ , เอเชียนเกมส์ , ชิงแชมป์เอเชีย , ยูธโอลิมปิก , สุธีรมานคัพ , อูเบอร์คัพ

10) ส่วนความสำเร็จในระดับอาชีพ ครีม คว้าแชมป์ 4 รายการ จบด้วยรองแชมป์อีก 6 ปัจจุบันเธออยู่ที่ 12 ของโลก กำลังมีลุ้นไปโอลิมปิกครั้งแรกในชีวิต และนี่คือผลตอบแทนความเสียสละของครอบครัวที่กล้าเดิมผันลงทุนให้ ซึ่งเธอก็ตอบแทนครอบครัวด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริงและความสำเร็จในทั้งด้านการเรียนและกีฬา

 


พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ หญิงเดี่ยวมือ 13 ของโลก

กำลังมีลุ้นโควตาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่นั่งสุดท้ายในประเภทหญิงเดี่ยวของนักกีฬาไทยอย่างเข้มข้น การที่ได้หยุดพักไปนานกว่า 8 เดือนจะส่งผลต่อฟอร์มการเล่นที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของเธอหรือไม่ และนี่คือ 8 ข้อที่จะทำให้คุณได้รู้จักและอยากติดตามเชียร์ "หมิว" พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มากยิ่งขึ้น

1) นักแบดมินตันสาวจากระยอง เริ่มเล่นแบดตอนอายุ 4 ขวบ หลังจากนั้น 3-4 ปีก็เริ่มลงข่งขันเป็นครั้งแรกตามรุ่นอายุ พอมีผลงานติดไม้ติดมือบ้างจนกระทั่งอายุ 11 ขวบได้เข้าร่วมโครงการของ SCG

2) เมื่อเข้ามาอยู่ในโครงการทำให้ หมิว อยู่ท่ามกลางการซ้อมที่เป็นระบบมากขึ้น ได้โอกาสพอสมควร ฝีมือเธอก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมีแชมป์ติดมือบ้างจนถูกสมาคมแบดมินนตันแห่งประเทศไทยเรียกเข้าไปเก็บตัว

3) หมิว เป็นนักกีฬาของสมาคม ฯ อยู่ 3-4 ปี ที่นั่นเธอมีทุกอย่าง เบี้ยงเลี้ยงซ้อม งบประมาณในการส่งแข่งขันต่างประเทศ เธอมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือซ้อม ซ้อม และซ้อมเพื่อให้พร้อมที่สุดสำหรับการไปแข่ง

4) แต่สำหรับเธอการที่นักกีฬาทุกคนอยู่ในกรอบเดียวกัน ใช้โปรแกรมฝึกซ้อมเหมือนกัน ไม่ลงรายละเอียดเฉพาะบุคคลทำให้เธอรู้สึกไม่ตอบโจทย์กับตัวเองเท่าไหร่

5) หลังจากนั้นเธอตัดสินใจออกมาซ้อมด้วยวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าตลอดระยะเวลาปีกว่า ๆ ผลงานเธอดีขึ้นเรื่อย ๆ

6) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เธอกาวขึ้นไปคว้าแชมป์อาชีพระดับเวิลด์ทัวร์ 300 ได้เป็นครั้งแรกในชีวิต โดยเอาชนะ แคโรลิน่า มาริน นักแบดเจ้าถิ่นดีกรีแชมป์โลกและแชมป์โอลิมปิก ได้ในรายการบาร์เซโลน่า มาสเตอร์ 2020

7) เพียงแค่นั้นอันดับโลกของเธอยังขยับขึ้นมารั้งที่ 13 ของโลกซึ่งเป็นอันดับโลกสุดในชีวิต และทำให้เธอมีลุ้นไปโอลิมปิก 2020 ในโควตาหญิงเดี่ยวคนที่ 2 ต่อจากรัชนก อินทนนท์

8) ณ เวลานี้ เธอยังคงไม่มีผู้สนับสนุนคอยซัพพอร์ทการเดินทางไปแข่งในต่างประเทศ ต้องใช้เงินเก็บจากเงินรางวัลส่วนตัวที่เคยทำได้ประคองตัวเองไปแข่งขันในแต่ละรายการ

 

 

ณิชชาอร จินดาพล หญิงเดี่ยวมือ 22 ของโลก
โลดแล่นในวงการแบดมินตันอาชีพยาวนานกว่า 10 ปี เป็นหนึ่งนักแบดมินตันสาวที่ประสบความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ซึ่งในช่วงต้นปีหน้ากับแบดมินตัน 2 รายการใหญ่ระดับเวิลด์ ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 เธอมีชื่อเป็น 1 ใน 13 นักตบลูกขนไก่ไทยที่จะได้ลงแข่งขันในเดือนมกราคม 2021

1) สาวใต้จากภูเก็ต เดิมทีเป็นเด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ป่วยเป็นไข้หวัดและไซนัสบ่อยจนการเข้าออกโรงพยาบาลป็นเรื่องปกติ

2) อายุได้ 8 ขวบเธอเริ่มเล่นแบดมินตันตามคำแนะนำของแพทย์ หลังจากนั้นเธอเริ่มแข็งแรง และถูกจับให้เรียนพื้นฐานแบดในคอร์สการเป็นนักกีฬา

3) กว่าจะรู้ตัวว่าเธอมีความฝันอยากติดทีมชาติ เวลาก็ผ่านไปแล้ว 7 ปี ซึ่งเธอตัดสินใจเก็บกระเป๋าเข้าเมืองหลวงเพื่อตามหาความฝัน

4) เธอมาซ้อมที่สโมสรบีจี สปอร์ต และพัฒนาอย่างรวดเร็ว อายุ 18 ผลงานของเธอไปเข้าตา อ.อุดม เหลืองเพชราภรณ์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยในเวลานั้น เรียกให้เธอซ้อมในแคมป์ทีมชาติ

5) น้องเล็กสุดในทีมประเดิมสีเสื้อทีมชาติ ในรายการ "SCG แบดมินตัน โธมัส-อูเบอร์คัพ 2010" รอบคัดเลือกโซนเอเชีย ที่ จ.นครราชสีมา และนี่คือจุดเริ่มต้นเส้นทางอาชีพ

6) ตลอดอาชีพนักกีฬาแบดมินตันเธอคว้าแชมป์อาชีพ 8 รายการ แชมป์ล่าสุดในรายการ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2018

7) จากน้องเล็กสุดในทีมชาติเมื่อปี 2010 ผ่านไป 8 ปีเธอก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่เป็นกัปตันทีมหญิงชุดลุยศึกอูเบอร์คัพ 2018 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ พร้อมพาน้อง ๆ สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญเงินรายการนี้ได้เป็นครั้งแรก

8) ตลอด 10 ปีที่ได้รับใช้ทีมชาติเธอประสบความสำเร็จมากมาย 4 เหรียญทอง 2 เหรียญทองแดง จากซีเกมส์ 6 ครั้ง , 1 เงิน 1 ทองแดงอูเบอร์คัพ , อันดับ 3 ในสุธีรมาน คัพ อีก 2 สมัยในปี 2013 , 2017 และเหรียญทองแดงชิงแชมป์เอเชียประเภททีม 2020 อีกหนึ่งสมัย
 


 


พิทยาภรณ์ ไชยวรรณ หญิงเดี่ยวมือ 28 ของโลก

“จิว” พิทยาภรณ์ ไชยวรรณ ผลผลิตจากบ้านทองหยอดที่น่าจับตามองในปี 2021 แม้จะอายุ 19 ปีแต่ผลงานดีวันดีคืน เก่งเกินอายุ และเป็นครั้งแรกที่เธอมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันรายการใหญ่ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1,000 โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น และ โตโยตา ไทยแลนด์ โอเพ่น ที่ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพในเดือนมกราคม 2020

1) สาวเหนือจากลำปางเริ่มเล่นแบดมินตันตอนอายุ 6 ขวบ เพราะอยากได้ถ้วยรางวัลเหมือนพี่ชายที่เป็นนักแบดมินตัน

2) ด้วยแพสชั่นที่อยากเก่งทำให้ จิว ได้ย้ายมาเป็นเด็กฝึกของสโมสรแบดมินตันบ้านทองหยอด เป็นศิษย์สำนักเดียวกับเมย์ รัชนก อินทนนท์ ไอดอลของเธอ

3)ที่บ้านทองหยอด จิว ซ้อมหนักวันละ 3 รอบ 7.00-9.00น., 12.00-15.00 น., 19.00 -21.00 น. ไม่แปลกใจว่าทำไมฝีมือของเธอถึงพัฒนาได้ไว

4)ตอนอายุ 15 เธอติดทีมชาติไทยครั้งแรกไปแข่งซีเกมส์ 2017 ที่มาเลเซีย ปีนั้น เมย์ รัชนก ถอนตัวทำให้สมาคม ฯ ต้องเปิดคัดตัวนักกีฬาหญิง 1 โควตา ซึ่งเธอจัดการคว้าโควตานั้นได้สำเร็จและเป็นส่วนหนึ่งในทีมคว้า 1 เหรียญทองซีเกมส์จากประเภททีมหญิง

5) ผลงานในระดับเยาวชน จิว นั้นไม่ธรรมดา จัดว่าเป็นระดับท็อปของรุ่น ครองแชมป์เยาวชนเอเชียถึง 3 สมัย (รุ่นยู 15 , ยู 17 สองสมัย) , คว้าแชมป์รายการ BWF รุ่นเยาวชนได้ถึง 8 รายกาารรวมไปถึงเหรียญทองแดงเยาวชนชิงแชมป์โลก 2019 กับยูธโอลิมปิก 2018 และยังครองมือ 1 เยาวชนโลกในปี 2018 มาแลล้วจากผลงานสุดแจ่มทำให้สื่อมวลชนในประเทศต่างยกย่องเธอว่าเป็นอนาคตของวงการแบดมินตันไทยอีกคนและให้ฉายาว่า เมย์ รัชนก 2 เนื่องจากฝีมือดีและเป็นศิษย์บ้านทองหยอดเหมือนกัน

6) ปี 2019 เธอขยับขึ้นมาแข่งขันในรุ่นประชาชนและแจ้งเกิดได้แบบเต็มตัว ไฮไลท์สำคัญและเป็นความสำเร็จสูงสุดในระดับอาชีพ ณ ตอนนี้คือการผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ไซเอ็ด โมดี อินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปียนชิพส์ 2019 ที่อินเดีย รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ก่อนจะไปแพ้ แคโลริน่า มาริน แชมป์โลกและแชมป์โอลิมปิก

7) ในขณะที่รายการระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เธอผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ถึง 3 รายการ ก่อนจะคว้ามาได้ 2 แชมป์

8) สรุปเบ็ดเสร็จในปี 2019 เธอคว้าแชมป์ได้ 3 รายการ อันดับโลกขยับจาก 83 ขึ้นมาอยู่ที่ 36 ของโลก

9) ส่วนอันดับโลกในปัจจุบัน เธออยู่อันดับ 28 ของโลก เป็นอันดับสูงที่สุดชีวิตของเด็กวัย 19 ปีคนนี้ และกำลังจะได้โอกาสลงแข่งขันแบดมินตัน 2 รายการใหญ่ระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ที่บ้านเราในช่วงต้นเดือนมกราคม

10) และถ้าหากว่า จิว ทำผลงานได้ดีทั้ง 2 รายการ ก็มีโอกาสได้เป็น 1 ใน 8 คนของนักแบดมินตันหญิงเดี่ยวที่จะได้ลงเล่นในรายการเวิลด์ทัวร์ไฟน่อล วันที่ 27-31 มกราคม 2021 เพราะอันดับเรซทู เวิลด์ทัวร์ ไฟน่อล ของเธอ ณ ตอนนี้ อยู่อันดับที่ 19 มีคะแนนตาม ไท่ ซื่อ หยิง อันดับ 8 ประมาณ 4,000 คะแนน

 

 

รวินดา ประจงใจ หญิงคู่มือ 11 ของโลก

จากนักแบดมินตันโนเนมที่ตอนเด็กๆไม่เคยคว้าแชมป์เหมือนนักแบดทีมชาติคนอื่นๆ แต่เธอทำอย่างไรวันนี้ถึงได้ก้าวขึ้นมาถึงระดับโลกได้

1) ว่ายน้ำเป็นกีฬาชนิดแรกที่ วิว เลือกเล่นในวัย 5 ขวบ ซึ่งเธอชอบและจริงจังกับการฝึกซ้อมวันละหลายชั่วโมงเพื่อไปแข่ง แต่ปัญหาเดียวที่ทำให้เธอไม่ไปต่อเป็นเพราะว่ายน้ำเป็นกีฬาที่ซ้อมเยอะแต่ใช้เวลาแข่งขันไม่ถึงนาที ถ้าพลาดแล้วไม่มีโอกาสแก้ตัว ทำให้เธอหันหน้าไปหากีฬาชนิดอื่นแทน

2) ก่อนจะมาลงเอยที่แบดมินตัน เพราะปกติแล้วเธอจะติดสอยห้อยตามไปนั่งดูพ่อแม่ตีแบดมินตันกับก๊วนประจำสุดสัปดาห์ โดยมีพี่ชายคนเดียวซ้อมอยู่ที่คอร์ทข้าง ๆ เห็นแบบนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขอเข้าไปเรียนแบดพร้อมกับพี่ชาย

3) หลังจากนั้นเธอถูกชักชวนให้เข้ามาอยู่ที่สโมสรแบดมินตันสิงห์ เอช เอช หลังเลิกเรียนทุกวันเธอจะมาซ้อม เมื่อถึงเวลาก็มีโอกาสได้ลงแข่งขัน แต่ฝีมือเธอ ณ เวลานั้นเป็นเพียงแค่นักแบดโนเนม ไร้อันดับไม่ได้เป็นมือวางหรือโดดเด่นเหมือน “เมย์” รัชนก อินทนนท์ หรือ “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล 2 นักแบดร่วมรุ่นที่ผลัดกันคว้าแชมป์เป็นประจำ

4) บางรายการก็ตกรอบแรก แพ้จนเรื่องปกติ แต่เธอกลับหลงเสน่ห์ของแบดมินตันแบบถอนตัวไม่ขึ้น เพราะเป็นกีฬาที่แข่งขันกันหลายแต้ม พลาดแล้วยังมีโอกาสให้เราได้แก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด สอนให้รู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและท้าทายขีดจำกัดตัวเอง

5) แม้จะไม่เคยชนะเลิศ แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้เหมือนกัน วิว ตื่นตี 5 มาซ้อมแต่เช้


stadium

author

ปวีน เทพพวงทอง

StadiumTH Content Creator / เชียร์หงส์แดง รักการเดินป่า เสพติดหมูกระทะ

La Vie en Rose