26 กุมภาพันธ์ 2563
"ผมว่านะ พวกนักกีฬาโอลิมปิกมันเฮงซวย โดยเฉพาะนักกีฬาโอลิมปิกของสหราชอาณาจักร เพราะยังไม่เห็นใครในประเทศนี้ทำอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นผมว่ามันเป็นคำสาป" นี่คือคำพูดของ ไทสัน ฟิวรี่ ยอดนักชกชาวสหราชอาณาจักร ที่คว้าแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวตครบทุกสถาบันหลัก รวมทั้งยังเคยเอาชนะ วลาดิเมียร์ คลิทซ์โก้ ตำนานชาวยูเครน และมี ดิออนเทย์ ไวล์เดอร์ แชมป์สภามวยโลกชาวอเมริกันเป็นเหยื่อรายล่าสุด
สู้ตั้งแต่เกิด
ไทสัน ฟิวรี่ เกิดที่วีเทนชอว์ ในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยเป็น 1 ในลูก 4 คนที่รอดชีวิตจากการคลอด หลังจากแม่ของเขาตั้งครรภ์ทั้งหมด 14 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ไทสัน คลอดก่อนกำหนดถึง 3 เดือน และมีน้ำหนักแรกเกิดเพียง 1 ปอนด์ (450 กรัม) ซึ่งแพทย์เปิดเผยกับ จอห์น ฟิวรี่ พ่อของเขาว่าโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก แต่เจ้าตัวก็รอดมาได้ ทำให้คุณพ่อตั้งชื่อตาม ไมค์ ไทสัน ตำนานแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทชาวอเมริกันที่มักจะเอาชนะแต้มต่อมาได้อยู่เสมอ
ฟิวรี่ เริ่มต่อยมวยตอนอายุ 10 ขวบ โดยได้รับการฝึกฝนที่ถูกต้องจากคุณพ่อซึ่งเป็นอดีตนักมวยอาชีพ ขณะที่ในวัย 11 ปี ฟิวรี่ ก็ได้ออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยพ่อกับพี่ชายหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวจากการรับจ้างทำถนนลาดยาง
ชวดไปโอลิมปิก ทั้งที่เก่งติด 1 ใน 3 ของโลก
ในช่วงชีวิตการเป็นนักชกสมัครเล่น ฟิวรี่เคยขึ้นสังเวียนทั้งในฐานะตัวแทนของไอร์แลนด์และอังกฤษ เนื่องจากเกิดในเมืองแมนเชสเตอร์ และอยู่ในครอบครัวชนร่อนเร่ชาวไอริช ซึ่งเป็นที่มาของฉายา "Gypsy King" อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะทำผลงานได้น่าประทับใจอย่างต่อเนื่องไล่ตั้งแต่การคว้าเหรียญทองแดง เวิลด์ จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพส์ ปี 2006, เหรียญทอง อียู จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพส์ ปี 2007 ตามด้วยเหรียญเงินใน ยูโรเปี้ยน จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพ ปีเดียวกัน แต่เจ้าตัวก็ไม่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของชาติบ้านเกิดลุยศึกโอลิมปิกปี 2008
เรื่องนี้นับว่าสร้างกระแสฮือฮาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในขณะนั้นฟิวรี่เป็นมือวางอันดับ 3 ของโลกสำหรับรุ่นจูเนียร์ เป็นรองเพียง มักซิม บาบานิน และ อังเดร โวลคอฟ 2 นักชกจากรัสเซีย ดังนั้นจึงน่าจะได้รับเลือกจากโควต้าที่แต่ละชาติส่งนักชกได้เพียงรายเดียว แต่กลับเป็น เดวิด ไพรซ์ เด็กปั้นของสมาคมมวยสากลสมัครเล่นของสหราชอาณาจักร ที่ได้ไปลุยกรุงปักกิ่ง ซึ่งฟิวรี่เชื่อว่ามีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องถึงแม้ตัวเองจะเคยแพ้คะแนนไพรซ์ในศึกชิงแชมป์แห่งชาติปี 2006 ก็ตาม
ทั้งนี้ ฟิวรี่ เปิดเผยกับ ซันเดย์ เทเลกราฟ เมื่อปี 2008 ว่า "ผมน็อกเขาลงระหว่างการชก แต่มาแพ้คะแนนในภายหลัง มันดูเหมือนว่า ไพรซ์ ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นตัวแทนของสหราชอาณาจักรในรุ่น ซูเปอร์ เฮฟวี่เวต ผมไม่ถูกเลือกเพราะเรื่องการเมือง"
ความจริงแล้ว ฟิวรี่ พยายามไปคัดตัวกับทีมชาติไอร์แลนด์เช่นกัน แต่ถูกบังคับให้ถอนตัวจากศึกชิงแชมป์แห่งชาติหลังจากมีการประท้วงเรื่องคุณสมบัติไม่เหมาะสมเพราะเจ้าตัวไม่ได้เกิดในไอร์แลนด์
เลิกสนโอลิมปิก มุ่งหน้าเส้นทางสายอาชีพ
หลายฝ่ายคาดว่า ฟิวรี่ คงรออีก 4 ปีเพื่อเข้าร่วมศึกโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน แต่เจ้าตัวไม่คิดเช่นนั้น และตัดสินใจเทิร์นโปรทันทีหลังคว้าแชมป์อังกฤษได้สำเร็จในปี 2008
"มันคงจะดีหากได้ลุ้นเพื่อติดทีมชาติไปลุยโอลิมปิกที่กรุงลอนดอนในปี 2012 แต่ผมรู้ดีว่าเรื่องการเมืองในวงการมวยจะเข้ามาขวางทางอีกครั้ง"
หลังจากนั้น ฟิวรี่ ก็เดินหน้าประกาศศักดาในวงการมวยโลก โดยเจ้าตัวสร้างสถิติไร้พ่าย 24 ไฟต์ก่อนขึ้นชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับ วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ แชมป์ 5 สถาบันและเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกปี 1996 ซึ่งผลปรากฏว่าฟิวรี่ชนะคะแนนไปอย่างเป็นเอกฉันท์ กลายเป็นแชมป์คนใหม่ของ ดับเบิ้ลยูบีเอ (ซูเปอร์), ไอบีโอ, ดับเบิ้ลยูบีโอ, ไอบีเอฟ และ เดอะ ริง
สูงสุดคืนสู่สามัญ ก่อนกลับขึ้นบัลลังก์อีกครั้ง
ความสำเร็จทั้งหมดของฟิวรี่ หายไปในเวลาไม่ถึง 2 ปี จากปัญหาทั้งภายในและภายนอก เจ้าตัวถูกตรวจพบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งฟิวรี่ยอมรับว่าใช้เพื่อรักษาอาการซึมเศร้าที่เป็นผลมาจากอาการบาดเจ็บเรื้อรัง โดยแม้ฟิวรี่จะตัดสินใจสละเข็มขัด รวมทั้งถูกริบแชมป์ แต่ก็ยังถูกบอร์ดบริหารของสมาคมมวยสหราชอาณาจักรลงโทษระงับใบอนุญาตชกมวยอาชีพ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายสู้คดีในเรื่องนี้นานนับปี ขณะที่ฟิวรี่มองว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
หลังผ่านการสู้คดีอย่างยืดเยื้อ ทั้ง 2 ฝ่ายก็ตกลงกันได้สำเร็จ ฟิวรี่ กลับขึ้นสังเวียนอีกครั้งในปี 2018 พร้อมกับคำปรามาสจากหลายฝ่าย แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ฟิวรี่ปิดปากพวกนักวิจารณ์ได้สนิท โดยเฉพาะในแมตช์ชิงแชมป์สภามวยโลกกับ ดิออนเทย์ ไวล์เดอร์ แชมป์ไร้พ่ายชาวอเมริกัน ซึ่งผลออกมาเสมอกันแบบเสียงแตก ถ้อยคำดูแคลนก่อนหน้านั้น กลายเป็นลุ้นให้ฟิวรี่กระชากแชมป์จากไวล์เดอร์ให้ได้ในการรีแมตช์ และในการเจอกันหนที่ 2 ของทั้งคู่ ฟิวรี่ ก็แสดงให้เห็นว่าเขาคือหนึ่งในนักชกที่ดีที่สุดในยุคนี้ หลังชนะทีเคโอไวล์เดอร์ในยก 7 คว้าแชมป์สถาบันหลักเส้นสุดท้ายที่ยังไม่เคยได้มาก่อนในอาชีพ
ณ ตอนที่ ฟิวรี่ ตัดสินใจเทิร์นโปรนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าเจ้าตัวจะประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายอาชีพหรือไม่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรการันตีว่าฟิวรี่จะได้ไปแข่งโอลิมปิก เกมส์ ในปี 2012 และคว้าเหรียญใดเหรียญหนึ่งมาครอง นอกจากนั้นต่อให้ประสบความสำเร็จกับมวยสากลสมัครเล่น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ดีในระดับเดียวกันเมื่อเทิร์นโปร เหมือนอย่าง เดวิด ไพรซ์ ที่ได้ตั๋วแทนฟิวรี่เมื่อปี 2008 โดยเจ้าตัวคว้าเหรียญทองแดงที่กรุงปักกิ่งได้สำเร็จ แต่ในฐานะนักมวยอาชีพกลับทำได้ดีที่สุดเพียงแชมป์ระดับทวีป และไม่เคยได้โอกาสชิงแชมป์โลกแม้แต่ไฟต์เดียว เหมือนกับ อั๊ดลี่ย์ แฮร์ริสัน เจ้าของเหรียญทองปี 2000 ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจอะไรไปแล้ว ต้องเชื่อมั่นกับสิ่งนั้นและทุ่มเทให้กับมันอย่างสุดความสามารถ โดยไม่มานึกเสียใจเมื่อมองย้อนกลับไป เหมือนอย่างที่ฟิวรี่ให้สัมภาษณ์ว่า
"ผมมีความสุขที่ไม่ได้ไปแข่งโอลิมปิกปี 2008 ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับพรจากพระเจ้า เพราะผมอาจจะกลายเป็นนักชกที่ห่วยแตกก็ได้ หากไปแข่งโอลิมปิก เกมส์"