10 Fight 10 : รายการที่มีคุณค่าต่อวงการกีฬามากกว่าแค่เอาดารามาต่อยกัน

กลับมาซีซั่น 2 สำหรับ 10 Fight 10 รายการที่นำเหล่าคนดังในแวดวงต่างๆมาขึ้นเวทีต่อยมวยสากลกันแบบเจ็บจริง ในกติกาจริง ในรูปแบบของความบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ 

อย่างไรก็ตามซึ่งสิ่งเราเห็นจากรายการนี้นั้นมีคุณค่าซ่อนอยู่หลังฉากความสนุก ความบันเทิงของเหล่าดาราที่ร่วมสร้างสีสันเรียกเรตติ้งให้กับรายการ และนี่คือคุณค่าต่อวงการกีฬาทั้ง 6 ข้อที่เราตีโจทย์ออกมา

สอนผู้ชมให้รู้จักจักกีฬามวยสากล

10 Fight 10 ไม่เพียงแค่นำเอาคนดังมาต่อยกันสร้างสีสันแล้วจบไป แต่สิ่งที่ทางรายการแอบแฝงอัดแน่นไปด้วยความรู้ความเข้าใจในกีฬามวยสากลอย่างถูกต้อง ใช้กติกาสากลจริงแบบโอลิมปิก ชกกัน 3 ยก ยกละ 3 นาที นับคะแนนกันแบบ 10 Point 

ในส่วนของการให้คะแนนยังใช้กรรมการผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่ผ่านการตัดสินมวยในระดับประเทศมาแล้ว ผู้ตัดสินบนเวทีชี้แจงกฎกติกาอย่างชัดถ้อยชัดคำ นักมวยแบ่งเวทน้ำหนักจริงแต่อาจจะมีหยวน ๆ กันบ้างตามความเหมาะสม 

ขณะที่ผู้บรรยายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สมจิตร จงจอหอ อดีตนักชกระดับแชมป์โลกและแชมป์โอลิมปิกคอยอธิบายให้ความรู้เทคนิคต่างๆ เคียงข้าง คุณนก ตานี ผู้บรรยายมวยไทยเสียงที่แฟนมวยคุ้นเคย ดูจบแล้วบอกเลยว่าผู้ชมทุกท่านสามารถดูมวยสากลในโอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ แล้วคุยกับเพื่อนได้อย่างสนุก

มืออาชีพและน้ำใจนักกีฬา 

แม้ว่าเหล่าคนดังจะไม่ใช่นักมวยอาชีพ แต่ก่อนจะขึ้นชกบนเวทีพวกเขาต่างฟิตซ้อมเตรียมร่างกายกันมาเกือบปี ผ่านการฝึกซ้อมอย่างจริงจังตามแบบฉบับนักมวยอาชีพ มีการใช้หลักวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วย โดยมีเทรนเนอร์มืออาชีพของทั้งสองทีมอย่าง อองตวน ปินโต้ อดีตนักมวยระดับแชมป์ กับ แมทธิว ดีน โปรโมเตอร์ที่ปั้นนักมวยมานักต่อนัก 

ขณะเดียวกันนับตั้งแต่ซีซั่นแรกจนถึงซีซั่นนี้ เรายังได้เห็นความเป็นมืออาชีพและน้ำใจนักกีฬาของทั้งสองฝ่าย ไมว่าคู่ชกจะสนิทกันขนาดไหนแต่เมื่อขึ้นไปอยู่บนเวทีแล้วต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ดุเดือด เลือดอาบ แต่ทันทีที่เสียงระฆังดังครบยก พวกเขาต่างโผเข้ากอดกัน ขอโทษซึ่งกันและกันด้วยความเคารพ บอกตรง ๆ ในฐานะที่อยู่ในวงการกีฬาเห็นแล้วถือเป็นภาพที่ประทับใจไม่น้อย

ปลุกกระแสมวยไทยในวันที่เงียบเหงา

ไม่ใช่แค่มวยสากลแต่รวมถึงมวยไทยบ้านเราในช่วงหลังถือว่าซบเซาไปกว่าเมื่อก่อนมาก ดูได้จากผลงานทีมชาติในช่วงหลังก็เงียบๆไม่คึกคักเหมือนเก่า หรือแม้แต่มวยไทยที่คนเริ่มเข้าเวทีมวยกันน้อยลง ไหนจะเจอโควิด-19 มาซ้ำเติมกันอีก

ดังนั้นการนำเอาเหล่าคนดังที่มีฐานแฟนคลับติดตามหนาแน่นมาต่อยกันจริง ๆ แบบสด ๆ จะช่วยปลุกกระแสให้กับวงการมวยได้กลับมาอยู่บนหน้าสื่ออย่างต่อเนื่องอีกครั้ง และที่สำคัญยังสามารถดึงดูดให้สาว ๆ ที่เป็นฐานแฟนคลับของคนดังให้หันมาสนใจกีฬามวยมากยิ่งขึ้น 

ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ

ในซีซั่นสองทางรายการให้ความสำคัญเรื่องความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สังคมกำลังให้ความสนใจอย่างมาก โดยในปีนี้เป็นครั้งแรกที่จัดให้มีการแข่งขันมวยหญิง นำคู่ซี๊รู้ใจกันอย่าง “เชียร์” ฑิฆัมพร กับ “หมอเจี๊ยบ” ลลนา อดีตนางสาวไทยเมื่อปี 2549 มาชกกันบนเวที และยังให้ความสำคัญเพศที่ 3 ด้วยการนำ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น นักแสดงชื่อดังเปรียบเสมือนตัวแทนของกลุ่ม LGBT มาต่อยในรายการ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมที่น่าชื่นชม และแสดงให้เห็นคนว่าทุกเพศทุกวัยนั้นสามารถเล่นกีฬาและออกกำลังกายได้

สร้างแรงจูงใจให้คนทุกเพศทุกวัยรู้จักออกกำลังกาย

คำว่า “ไม่มีเวลา” หลายคนมักใช้ข้ออ้างไม่ยอมออกกำลังกาย แต่ถ้าหากคุณมองไปที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนคุณจะค้นพบเลยว่าคำว่า “ไม่มีเวลา” นั้นไม่มีอยู่จริง อย่าลืมว่าศิลปินนักแสดงกว่า 20 ชีวิตต่างเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีผลงานอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ตลอดทั้งปี แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมีเวลานอนน้อยคิวงานเยอะขนาดไหน แต่ก็ยังรู้จัดสรรเวลามาซ้อมมวยได้สัปดาห์ละ 3-4 วัน

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่รายการพยายามสื่อสารไปถึงผู้ชมให้รู้จักแบ่งเวลามาออกกำลังกายมากกว่าดูเพื่อความบันเทิงแล้วจบไป

สปอร์ต เอนเตอร์เทนเมนต์

มวย เป็นกีฬาที่เหมาะจะเป็น สปอร์ต เอ็นเตอร์เทนเมนท์ อย่างมาก ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ภาครัฐพยายามทำมาตลอดหลายปี แต่ขอเรียนตามตรงว่ามันยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

แต่ในส่วนของรายการ 10 Fight 10 ถือว่าทำได้ดีอลังการงานสร้าง มีการจัดทำ Story Telling บอกเล่าเรื่องราวเบื้องหลังการฝึกซ้อม รวมถึงแฟชั่นชุดเปิดตัวแต่ละคนจะมีผ้าคลุมเป็นสัตว์ต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของนักมวยแต่ละคน จัดเต็มความบันเทิง แสง สี เสียง ทำดนตรีเพลงแนวต่าง ๆ ให้ผู้เข้าแข่งขันได้ร่วมในโชว์สะกดคนดูได้อยู่หมัด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ภาครัฐควรนำไปเป็นกรณีศึกษาในการทำ สปอร์ต เอ็นเตอร์เทนเมนท์