stadium

สูตร “กระต่ายเหนียวเคี้ยวยาก” ดีพอเป็นแชมป์ลีกได้มั้ย?

30 กันยายน 2563

สูตร “กระต่ายเหนียวเคี้ยวยาก” ดีพอเป็นแชมป์ลีกได้มั้ย?

#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย

 

“ฮัลโหล…พี่ดูอยู่หรือเปล่า? พี่ได้ดูคู่บีจีมั้ย? บีจีของผมชนะอีกแล้วนะพี่แถมคลีนชีตอีกด้วยเกมนี้ ยืนจ่าฝูงเดี่ยวๆแล้วนะครับ(เสียงหัวเราะ) โหดปะล่ะเก็บเรียบทั้งท่าเรือฯ, เมืองทองฯ และแบงค็อกฯ? พี่ว่าทีมผมจะไปถึงแชมป์ได้เลยมั้ยปีนี้?”

 

นั่นคือสุ้มเสียงที่สั่นเครือด้วยความตื่นเต้น(บวกดีใจ)ที่ผ่านมาตามเสียงตามสายของรุ่นน้องที่กรุงเทพคริสเตียนฯ และเขาก็เป็นแฟนตัวยงของทีมกระต่ายแก้ว ทีมที่เคยกระตุกต่อมน้ำตาน้องเขาให้แตกแบบชนิดที่พรั่งพรูในสมัยที่ทีมจากปทุมธานีต้องหายไปจากลีกสูงสุด

 

และจากการสนทนากับรุ่นน้องคนนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆหลังเกมแค่ไม่กี่นาทีกับชุดคำถามที่น้องเขารัวใส่ผมอย่างไม่ยั้ง ผมพอจะอนุมานได้ว่านี่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่แฟนบีจีดูจะแฮปปี้สุดๆ

 

ชนะสองเกมรวดหลังกลับมาแข่งใหม่แถมไม่เสียประตูให้ใครเลยซักกะนัด ยิ่งถ้าพูดถึงฟอร์มโดยรวมที่ทีมเสียประตูแค่ลูกเดียวจากการลงเล่นทั้งหมดหกเกมที่ผ่านมาแถมลูกเดียวที่ว่าก็เป็นจุดโทษอีกด้วยแบบนี้ ว่ากันแบบภาษาบ้านๆผ่านมาแล้วหกนัดยังไม่มีทีมไหนสามารถเจาะไข่แดงบีจีด้วยลูกโอเพ่นเพลย์ได้เลยซักกะทีม มันเลยไม่แปลกที่จะมีคนกล้าตั้งคำถามว่า “ฟอร์มออกสตาร์ทของบีจีแบบนี้ ดีพอถึงแชมป์ได้เลยมั้ย?”  

 

“ได้ซิ!” แต่มีข้อแม้ว่าต้องยืนระยะไปให้ได้จนจบฤดูกาลนะ และต้องภาวนาว่าอย่าพึ่งให้คู่แข่งจับทางเราได้

 

ผมคิดว่าระบบการเล่นของบีจียุคโค้ชโอ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจแถมมีสไตล์ในแบบของตัวเองที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะท่ามกลางค่านิยมของสโมสรต่างๆบนลีกสูงสุดของไทยที่ต่างเฮโลใช้โควต้าตัวต่างชาติหนักไปทางตัวรุกและศูนย์หน้าแต่บีจีกลับมาแปลกด้วยการให้น้ำหนักไปที่แผงหลัง  

 

ยิ่งพอครั้งหนึ่งผมเองได้ฟังบทสัมภาษณ์ของคุณปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรที่เคยพูดไว้ว่า “คุณจะเชื่อผมมั้ยล่ะว่าอาจไม่ใช่พวกศูนย์หน้าก็ได้แต่เป็นกองหลังของผมนี่แหละที่จะทำหน้าที่เป็นเพชรฆาต” นั่นก็ยิ่งทำให้ผมประหลาดใจ

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะ 3 จาก 9 ลูกที่บีจีได้ประตูในหกเกมที่ผ่านมามาจากกองหลังของพวกเขาล้วนๆ แถมยังเป็นตัวเลขเดียวกันกับที่ศูนย์หน้าของทีมทำได้ พูดง่ายๆคอนเซ็ปต์ของบีจีในตอนนี้กำลังทำงานของมันได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพเลยล่ะ

 

แล้วพอมาบวกกับความแข็งแกร่งของปราการหลังที่ผนึกกำลังตัวต่างชาติแบบสามคนด้วยกันอย่างตูเญซ, วิคเตอร์  คาร์โดโซ่และอิรฟาน ฟานดี้ เอาแค่เรื่องความฟิตบวกสรีระร่างกาย การจะกินแผงหลังบีจียุคที่มีสามคนนี้ทำงานอยู่ในสนามถือเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาสำหรับทีมคู่แข่ง

 

บีจียุคโค้ชโอ่งทำให้ผมนึกถึงนาโปลียุควอลเตอร์ มาสซารี่ที่ครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยพาทีมอัซซูรี่คว้ารองแชมป์เซเรียอาด้วยการออกสตาร์ทแบบที่ไม่แพ้ใครในเกมลีกติดต่อกันมากถึงเจ็ดเกม แถมในเจ็ดเกมที่ว่าพวกเขาเสียประตูให้ทีมคู่แข่งแค่สามลูกเท่านั้นและที่สำคัญนาโปลียุคที่ว่าเล่นด้วยระบบ “หลังสาม” (เหมือนบีจียุคนี้)  

 

เปาโล คันนาวาโร่, อูโก้ คัมปันญาโร่ และเฟเดริโก้ เฟอร์นันเดซ คือสามทหารเสือแผงหลังในยุคนั้น และจะว่าไปหากนับเอาส่วนสูงของทั้งสามคนมารวมกันเพื่อหาค่าเฉลี่ย “186 ซม.” คือตัวเลขที่เราได้ พูดง่ายๆนาโปลียุคมาสซารี่มีกำแพงฉาบซีเมนต์สูงถึงเกือบสองเมตรคอยปิดบังประตูของพวกเขาเอาไว้

 

ไม่ต่างจากบีจีในตอนนี้ที่พวกเขาใช้ประโยชน์จากส่วนสูงของกองหลังตัวต่างชาติ บวกกับการผสมผสานของบรรดากองกลางดีกรีทีมชาติอย่างเจ้านิว ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์และเจ้าตังค์ สารัช อยู่เย็น นั่นทำให้กระต่ายแก้วยุคใหม่ดูจะเนื้อเหนียวเคี้ยวยากเกินไปสำหรับทีมคู่แข่งและเป็นที่มาของ “หกเกมไร้พ่าย” เหมือนอย่างที่เราได้เห็น  

 

“หลังโคตรแน่นแถมกลางก็เด่น” หากเติมหน้าคมๆอีกหน่อยคงเป็นอะไรที่เพอร์เฟค

 

ถามว่าบีจีออกสตาร์ทมาแรงอย่างนี้จะดีพอไปได้ถึงแชมป์เลยมั้ย? ผมเองยังไม่กล้าฟันธงเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจแน่ๆคือตั๋วไปเล่นบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชียปีนี้ บีจีน่าจะเป็นว่าที่เจ้าของตั๋วแล้วแน่ๆหนึ่งใบ

 

ว่าแต่ท่านผู้อ่านล่ะ..ท่านว่าพวกเขาไปได้ถึงแชมป์เลยมั้ยปีนี้?


stadium

author

“akinson149” พงศ์รัตน์ วินัยวัฒนวงศ์

Moderator เพจ thailandsusu (Section: บทความ-แปลข่าวบอลไทย) และคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย

La Vie en Rose