18 กันยายน 2563
ยุคที่ในสังคมมีแต่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่ทว่าชีวิตของคุณสามารถดำเนินไปแบบเรียบง่ายและมั่นคง ถ้าเป็นคุณจะกล้าตั้งคำถามหาความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวคุณเองหรือไม่ ?
แน่นอนว่าคำตอบที่ได้อาจจะแตกต่างกันไป แต่สำหรับ “จูน” กีรติญา จันทรัตน์ อดีตแอร์โฮสเตสสาวที่ได้งานใหม่มั่นคงกว่าเดิมจากการเป็นเลขาฯในบริษัทแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายเธอกลับตัดสินใจทิ้งชีวิตเรียบง่ายแบบที่ใคร ๆ ก็ฝันถึง แล้วผันตัวมาเป็นนักกีฬาเพาะกาย ซึ่งไม่ใช่กีฬาอาชีพ แถมยังเป็นกีฬาที่สาว ๆ ส่วนใหญ่มีภาพติดอยู่ในหัวไม่ค่อยดีนัก
แต่เธอกลับไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะลาออกจากงานเพื่อมาเป็นนักกีฬาเพาะกายแบบเต็มตัว แต่ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้น ตลอดชีวิตของเธอเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายแต่กลับประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะการเข้าฟิตเนส และยังก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งรองแชมป์โลกและเป็นแชมป์ทวีปเอเชีย
แน่นอนว่าเมื่อได้รู้จักกับกีฬาชีวิตเธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทุกด้าน เธอมีแนวคิดแบบไหนกันแน่ ถึงได้กล้าตัดสินใจทำอะไรที่แตกต่าง ที่ StadiumTH เรามีคำตอบ
ภาพที่เราเห็นคุณเมื่อก่อนนี้คือแอร์โฮสเตสสาวหวาน ตัวตนจริงๆของคุณเป็นแบบไหน
จะบอกว่าเป็นสาวหวานไหม? จูน ไม่ได้เป็นคนหวานจ๋า แค่ใบหน้าเราเหมือนสาวหวาน แต่จริงๆแล้ว จูนก็เป็นผู้หญิงธรรมดาทั่ว ๆ ไปที่ชอบอยู่เฉย ๆ ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเป็นพิเศษ เป็นคนชอบอยู่บ้าน อยู่เฉย ๆ ได้ทั้งวัน แต่เราไม่ใช่คนเที่ยวหรือแฮงค์เอ้าท์ จะบอกว่าจูนเป็นคนน่าเบื่อก็ได้นะ
ใช่ชีวิตแบบที่เคยฝันไว้หรือเปล่า
ด้วยตอนนั้นเราเฉย ๆ นะไม่ได้คิดว่าชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เราก็เป็นแค่คนทั่วไปใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิตมากกว่า แต่ถึงจุดหนึ่งชีวิตเรามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ โตขึ้นด้วย ปัญหาก็มากขึ้น ทางบ้านมีปัญหา เราเองก็มีปัญหา กลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตไปวัน ๆ ได้อีกต่อไป เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าอยู่แบบเดิมไม่ได้แล้วนะ ต้องพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชีวิตเราดีขึ้น
ปัญหาส่วนใหญ่มาจากตัวเรานี่แหละ เป็นความคิดของตัวเองล้วน ๆ จูน ทำงานฟิตเนส แต่ไม่เคยออกกำลังกาย ช่วงนั้นปัญหารุมเร้า มีคนเคยบอกให้ออกกำลังกายมันจะดีขึ้น พี่ที่เป็นเทรนเนอร์ที่สนิทกันมาช่วยเทรนให้เผื่อจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่เราเป็นคนที่รู้สึกถ้าไม่อยากออกกำลังกายก็จะไม่ออก ถ้าเราอยากทำเดี๋ยวทำเอง ซึ่งพอเราอยากลองเราทำ เราก็ลุกไปเองโดยไม่ต้องมีใครบอก
จูนเป็นคนแบบนี้แหละ พอเรารู้ว่าอยากทำอะไรก็จะเป็นคนที่ทำเลย ทำตามเป้าหมาย โชคดีที่วันนี้เดินมาถูกทาง อยู่ถูกที่ถูกเวลา มาถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าคิดไว้
ตอนเด็ก ๆ ชอบออกกำลังกายไหม
เคยว่ายน้ำตอนเด็ก ตอนเรียนชั้นประถม แต่พอขึ้นมัธยมเราเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเล่นแล้ว มันเหนื่อย ไม่อยากทำ ขี้เกียจ แล้วเป็นจังหวะที่ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งที่นั่นอากาศมันหนาวยิ่งทำให้ไม่อยากว่ายน้ำเข้าไปอีก
คือ จูน เป็นคนที่นอนอยู่เฉย ๆ ได้ทั้งวัน เฉื่อยได้ทั้งวัน ขี้เกียจสุด ๆ นอนไม่ต้องกินข้าวก็ได้ ดูทีวี ใช้ชีวิตวนลูบแบบนั้นได้ทุกวัน
ผู้หญิงส่วนใหญ่ใฝ่ฝันที่จะมีรูปร่างตัวเล็ก ๆ และน้ำหนักน้อย ๆ แบบคุณ แต่เพราะอะไรถึงเลือกไปให้สุดแล้วหยุดที่มีกล้าม
ตอนที่เริ่มออกกำลังกายไม่ได้คิดอะไร ชอบเล่นคลาสมากกว่าเล่นเวท คือมุมมองเราตอนนั้นเล่นเวทมันน่ากลัว มีแต่ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ แต่พอเราเปลี่ยนสถานที่เล่น เราได้เจอเพื่อนกลุ่มใหม่ เขาเห็นว่าเราผอม ตัวเล็ก เลยแนะนำให้เลิกเล่นคลาสแล้วหันมาเล่นเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อแทน ตอนนั้นเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ไม่อยากกินข้าว คาดิโอหนัก กลายเป็นยิ่งผอม ทุกคนก็บอกว่าผอมไปไม่ดี เราก็ป่วยบ่อยป่วยทุกเดือน ก็เลยรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องทำให้ตัวเองแข็งแรง
เราก็เล่นเวทอออกกำลังกายทั่วไป โชคดีที่มีคนคอยสอนให้เลยไม่ยาก แถมสนุกด้วยได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ กลายเป็นความสุขที่ได้ทำ
ก่อนตัดสินใจเล่นเพาะกายมีความรู้สึกยังไงกับผู้หญิงมีกล้าม แล้วพอได้เล่นเพาะกายแล้วทัศนคติเปลี่ยนไปไหม
บอกตรง ๆ ตอนแรกเราก็คิดว่าน่ากลัว ภาพจำของเราที่มีต่อกีฬาเพาะกายต้องเป็นคนตัวใหญ่อย่างเดียวเหมือนผู้ชายทั่วไป ตอนนั้นเราไม่มีความรู้เลย โลกที่เราอยู่ก็ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้การเล่นเพาะกายเลยด้วยซ้ำ เต็มที่ก็แค่มีเพื่อนเป็นโปรเพาะกายที่อเมริกาตัวใหญ่มาก
แต่แฟนเรานี่แหละที่เป็นคนยุให้ลงแข่งเพาะกาย เขาถามเราว่าลองดูมั้ย ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรนะ คงเป็นเพราะเขาเห็นศักยภาพในตัวเราหรือเปล่า หรือรูปร่างของเราตอบโจทย์การแข่งขันถึงอยากให้เราลงแข่ง
แฟนก็พยายามอธิบายว่าเพาะกายมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เหมือนตะล่อมเราทางอ้อม มีพาไปดูแข่งถึงสนาม ดูไปก็อธิบายให้เราฟังหมดทุกอย่างว่าแต่ละรุ่นแข่งขันยังไง เป็นแบบไหน เพาะกายมีอะไรมากกว่าแค่ตัวใหญ่ เราฟังแล้วสุดท้ายก็ใจอ่อนเลยตัดสินใจลองดูสักตั้ง ตอนนั้นเราออกกำลังกายพอมีกล้ามอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลองดูจะได้รู้ว่าทำได้ไหม มันเป็นไปได้หรือเปล่า ซึ่งพอเราได้ทำแล้วก็อยากทำให้จบ จะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็ถือว่าได้ลองแล้ว ถ้าไม่ชอบก็จบ
เพาะกายกับการออกกำลังกายปกติ แตกต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร
ต่างกัน เพาะกายมันต้องสร้างกล้ามเนื้อ ต้องมีวินัย ออกกำลังกายทุกวัน อย่างก่อนแข่งชิงแชมป์ประเทศไทยรายการแรกที่ลงแข่ง เราต้องเตรียมตัวล่วงหน้า 4 เดือน เป็นช่วงที่ทรมานสุด ๆ ทรมานมากกว่าที่จินตนาการไว้อีกนะ การจะมีกล้ามต้องกินเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้เพียงพอ ซึ่งจูนเป็นคนตัวเล็ก ต้องเพิ่มทุกอย่าง ซ้อมเยอะขึ้น เพิ่มกล้ามเนื้อ กินข้าววันละกิโล ทั้งที่เมื่อก่อนกินข้าววันละคำสองคำ บ้างวันก็ไม่กิน ซึ่งมันเหนื่อยมาก ๆ แต่เราก็ต้องทำ ไม่เหมือนการเข้าฟิตเนสทั่วไปที่จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ แต่เพาะกายขาดไม่ได้
ฟังดูแล้วไม่มีอะไรน่าสนุกเลย อะไรทำให้คุณฝืนใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไปได้
เราชอบโมเมนต์บนเวที มันแบบเหมือนเราได้โชว์ในสิ่งที่เราพยายามทำมาทั้งหมดให้ทุกคนเห็น เบื้องหลังก่อนขึ้นเวทีเราทำงานกันหนักมากจริง ๆ ใช้ความพยายามกันเยอะมาก เราซ้อมหนักเราไดเอท มันเลยทำให้เราชอบความรู้สึกที่ได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความพยายามของเรา
เวลาเราเดินอยู่บนเวทีแล้วมองไปที่กรรมการ มองไปที่คนดูแล้วเห็นรอยยิ้มของทุกคนที่ส่งกลับมาหาเราแสดงออกถึงความพอใจ ทำให้เรารู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก
การใช้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปเปลี่ยนไปเยอะขนาดไหน
เปลี่ยนไปเยอะมาก จากพนักงานออฟฟิศธรรมดาที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่ออกกำลังกาย ไร้เป้าหมาย กลายเป็นนักกีฬาต้องซ้อมเยอะ ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปหมด ถ้าเรายังเป็นพนักงานออฟฟิศกว่าจะเลิกงานก็หมดวัน ไหนจะต้องซ้อมวันละหลายชั่วโมง ซึ่งมันไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นของตัวเอง ร่างกายพักผ่อนไม่พอ ความเครียดสะสมจากการทำงาน มันทำให้กล้ามเนื้อพัฒนาได้ไม่เต็มที่ บางครั้งงานประจำก็มีสะดุดเพราะเราต้องลางานเป็นอาทิตย์เพื่อไปแข่ง ชีวิตตอนนั้นมันดูไปด้วยกันไม่ได้ เหมือนไปไม่สุดสักทาง ถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องเลือก ซึ่งเราก็เลือกการเป็นนักกีฬาเพาะกาย เลยตัดสินใจลาออกก่อนชิงแชมป์เอเชีย
ช่วงนั้นการใช้ชีวิตก็ยากขึ้น ต้องกินอาหารที่ไม่เหมือนคนอื่น เพื่อนชวนไปกินบุฟเฟ่ต์เราก็ต้องห่อข้าวไปกินเองซึ่งมันดูแตกต่างมาก ๆ ช่วงแรกก็ดูแปลก ๆ แต่พอปรับตัวได้เพื่อนเริ่มเข้าใจก็ใช้ชีวิตได้ปกติเหมือคนอื่น ไปไหนมาไหนกับเพื่อนได้ปกติ กินข้าวบนโต๊ะเดียวกันได้
แต่ก็ยังมีช่วงที่เราไม่ได้แข่ง ปล่อยตัวได้นิดหน่อย พอได้กลับมากินบุฟเฟ่ต์ หมูกระทะ กระเพรา ก็รู้สึกดีใจมาก เพราะเวลาเราเตรียมตัวก่อนแข่งจะไดเอทเกือบทั้งปี บอกตรง ๆ เหมือนเราลืมรสชาติอาหารปกติไปหมดแล้ว ขนมหวานรสชาติยังไง ชานมไข่มุกเป็นยังไง แต่ก็ต้องทำใจ เปลี่ยนตัวเองมากินอกไก่ปั่น ลองคิดดูซิ มันฝืดคอมากนะ กินก็ยากสุด ๆ ปรุงยังไงก็ไม่อร่อย แรก ๆกินอะไรเข้าไปก็อ้วกออกมาหมด อ้วกไปร้องไห้ไปแต่ก็ต้องฝืนเพราะเราเลือกแล้ว
ดูเหมือนว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิงคนเดิมที่มองว่าเพาะกายน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว
ใช่ค่ะ ตอนแรกกลัวจริง ๆ อย่างที่บอกภาพจำเราคือเพาะกายเป็นตัวคนตัวใหญ่ ๆ แต่พอได้มาทำจริง ๆ มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด เราก็ยังเป็นเรา เสื้อผ้าก็ใส่ไซส์เดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง เหมือนคนปกติไม่มีใครรู้ว่าเรามีกล้าม
ที่บ้านว่ายังไงบ้าง
ที่บ้านไม่โอเคนะ ยกเว้นคุณพ่อจะเฉย ๆ เพราะเขาเป็นนักกีฬามาก่อนเลยเห็นด้วยที่เรารู้จักออกกำลังกาย แต่คุณแม่กับอาม่าแรก ๆ ไม่ชอบเลย เพราะเขาคิดว่ามันตัวใหญ่ แล้วชุดเพาะกายค่อนข้างโชว์เรือนร่าง เวลาไปแข่งเขาก็คิดว่ามีแต่ผู้ชาย เหมือนเราแต่งตัวโป๊ไปอยู่ท่ามกลางผู้ชาย แต่เราก็อธิบายจนเขา(น่าจะ)เข้าใจ เพราะทุกวันนี้แม่ก็เป็นคนทำอาหารให้
ในฐานะนักเพาะกายเราจะแสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงยุคใหม่หรือตัวตนคุณได้อย่างไร
จูนว่าเราเปลี่ยนค่านิยมใหม่ ๆ ได้นะ ผู้หญิงสวยไม่จำเป็นต้องผอม ผอมแล้วสุขภาพไม่ดีก็ไม่ไหว แบบนั้นเราไม่มีความสุขกับตัวเอง ป่วยบ่อย อ่อนแอ เดินไปเจอลมพัดแรง ๆ แทบจะปลิว เรารู้สึกว่าแบบนั้นไม่ไหว เราอ่อนแอเกิน แต่เดี๋ยวนี้เราแข็งแรงขึ้นโดยที่จะยังตัวเล็กเหมือนเดิม ใส่เสื้อผ้าไซส์เดิม ไม่ป่วยบ่อย พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผู้หญิงสวยได้ไม่จำเป็นต้องอ่อนแอ
คิดอย่างไรกับคำว่าผู้หญิงไม่เหมาะกับการมีกล้าม
ทำไมถึงมีกล้ามไม่ได้ละ ปัจจุบันเทรนด์โลกได้เปลี่ยนไปเยอะมากไม่ได้น่าเบื่อเหมือนเมื่อก่อน ผู้หญิงมีกล้ามแล้วไม่ดีตรงไหน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดแต่ถ้าแนวคิดไม่ตรงกันก็เลิกคุยเลย
เคยมีอยู่ช่วงนึงสกู๊ปข่าวจูนลงเยอะมาก ก็จะมีคนเข้ามาคอมเม้นท์ประมาณว่า น่าเกลียดบ้าง ทำไมทำตัวแบบนี้ หุ่นทุเรศมาก โครตน่าเกลียดเลย แต่พอเราคลิกเข้าไปดูรูปคนมาคอมเม้นท์เหล่านั้น เราพบว่าพวกคุณก็ไม่ได้หุ่นดีเลย แต่คุณกลับมาว่าเรา ทั้ง ๆ ที่เราออกกำลังกายเป็นประจำ มีสุขภาพดี จากที่ป่วยบ่อยทุกวันนี้แม้แต่หวัดยังไม่ค่อยเป็นเลย ใครจะว่าอะไรก็แล้วปล่อย เพราะเรารู้ตัวเองดีว่าสิ่งที่ทำเป็นอย่างไร คนรอบข้างเข้าใจเราก็พอแล้ว
ปัจจุบันทราบมาว่าคุณเป็นเทรนเนอร์ เป็นนักกีฬา แล้วยังทำธุรกิจด้วย ดูมีเป้าหมายมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย มีวิธีบริหารเวลาอย่างไร
จริง ๆ ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรเลย เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำเรานั้นมันสามารถควบคู่ไปด้วยกันได้ทั้งหมด อย่างการเป็นนักกีฬากับเป็นเทรนเนอร์ก็ใช้ชีวิตอยู่ในยิมอยู่แล้ว ว่างจากการสอนก็ค่อยซ้อม คือคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันต้องรู้จักบริหารเวลาให้ดีแล้วการใช้ชีวิตจะมีคุณภาพมากที่สุด
ช่วงโควิดระบาด ฟิตเนสปิด ขาดรายได้ คุณเอาตัวรอดให้ช่วงนี้อย่างไร
ตอนแรกไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย ตั้งใจจะเป็นนักกีฬากับเทรนเนอร์แค่นั้น แต่พอโควิดเข้ามามันทำให้ความคิดเราเปลี่ยนไป รายได้ไม่มีเราจะทำยังไงให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ตัดสินใจรับของมาขาย ปรากฎว่าขายดี เราก็ใช้ช่วงเวลาที่เล่นโทรศัพท์โพสตรับออเดอร์ การที่โควิดเข้ามาทำให้เราตื่นตัวขึ้น รู้จักวางแผนสำรอง มันสอนให้เรารู้จักดิ้นรนหารายได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ทำอาชีพเดียวแล้วจะอยู่รอด ต้องรู้จักรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจส่งผลต่อรายได้เราทางใดทางหนึ่ง แต่เราก็ยังอีกทางคอยรองรับ
อนาคตอยากกลับไปหุ่นผอมเพียวไร้กล้ามแบบผู้หญิงคนอื่นอีกมั้ย
ตอนนี้คิดแค่ว่าอยากไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดมากกว่า เป้าหมายของเคือการเป็นแชมป์โลก ถ้าได้เป็นแชมป์โลกก็คงสุดแล้วในเส้นทางนี้ ทุกวันนี้ภูมิใจมากค่ะไม่คิดว่าวันนึงจากคนธรรมดาจะได้มาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
TAG ที่เกี่ยวข้อง