stadium

ฤาท่าเรือและบีจี คือว่าที่แชมป์ไทยลีก?

9 กันยายน 2563

ฤาท่าเรือและบีจี คือว่าที่แชมป์ไทยลีก?

#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย

 

เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่อึดใจไทยลีกก็จะกลับมาโม่แข้งกันใหม่อีกครั้ง แถมในครานี้มีหลายเหตุผลที่จะทำให้อรรถรสในการรับชมบอลลีกภายในประเทศพุ่งทะยานไม่ต่างจากความเข้มข้นของเหล้า “95 ดีกรี” พูดง่ายๆความมันส์น่าจะจุใจจัดเต็มเพียวๆชนิดที่ไม่ต้องมาโปรโมตอะไรกันให้มาก

 

อย่าลืมนะครับว่าโควิด-19 พรากบอลไทยไปจากเราถึงครึ่งปี, อย่าลืมนะครับว่าตั๋วเอซีแอลในฤดูกาลนี้มันวัดกันแค่เลกแรกเท่านั้น และก็อย่าลืมอีกเช่นกันว่า “ยังไม่มีอะไรแบเบอร์แบบแช่แป้ง” (ใครก็เป็นแชมป์ได้เพราะบอลพึ่งจะหวดกันไปแค่สี่นัดเท่านั้นเอง และบวกกับสถานการ์ณที่เป็นอยู่ที่บรรดาทีมใหญ่ทั้งเชียงราย ยูไนเต็ด, เมืองทอง ยูไนเต็ด และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดต่างพาเหรดกันออกสตาร์ทได้บู่พอๆกัน) นั่นแหละคือที่มาที่ว่าทำไมดีกรีความมันส์มันถึงคับแก้ว

 

“เตะอีกแค่ 11 นัดกับตั๋ว 4 ใบไปแชมเปี้ยนลีก” ฟังยังไงก็น่าสนใจ ใช่ไหมล่ะครับ ? และนั่นแหละคือที่มาของดีลมากมายชนิดที่ตลาดซื้อ-ขายหนนี้ดูจะคึกคักกว่าครั้งไหนๆ และทำให้เกิดความ “เซอร์ไพรส์” มากมายก่อนกลับมาแข่งกันใหม่

 

เนลสัน โบนิญ่า, ทิตาธร-ทิตาวีร์ อักษรศรี, อดิศร พรหมรักษ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา, สราวุธ กัลยาณบัณฑิต และกานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ ทั้งหมดต่างพาเหรดกันย้ายเข้าการท่าเรือฯ

 

ในขณะที่เดอะ บลูแมชชีน บีจีปทุม ยูไนเต็ด ก็จัดหนักแบบไม่ไว้หน้าใครด้วยการคว้าทั้งมิตสึรุ มารุโอกะ กองกลางชาวญี่ปุ่น อดีตเด็กเก่าโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, เจ้าตังค์ สารัช อยู่เย็น, อันเดรส ตูเญซ อดีตเด็กเก่าปราสาทสายฟ้า, เจนรบ สำเภาดี และปิยะชนก ดาฤทธิ์ ซึ่งแต่ละคนล้วนพกดีกรีที่ไม่ธรรมดา  

 

ปรากฎการณ์ของการ “ย้ายเข้า” ของเหล่าแข้งมากประสบการณ์แถมยังมีโปรไฟล์ที่ไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้นที่ย่านคลองเตยและปทุมธานีไม่เพียงแต่เป็นจุดสนใจของหน้าสื่อเท่านั้น หากแต่ในวงกาแฟของบรรดากองเชียร์และกูรูบอลไทยต่างก็ถกกันว่าแชมป์ไทยลีกปีนี้อาจแบเบอร์ไปแล้วตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้แข่ง

 

เพราะเมื่อเทียบกับสโมสรใหญ่ๆหลายสโมสรที่เราคุ้นเคยกันในฐานะทีมลุ้นแชมป์อย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เมืองทอง ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด หรือแม้แต่แชมป์เก่าอย่างเชียงราย ยูไนเต็ดนั้น สี่ทีมที่ว่ามานี้ต่างไม่ได้ควักสตุ้งสตางค์ออกมาเสริมทีมกันมาก

 

ถึงแม้ว่าปฎิบัติการ “ผ่าเครื่อง” แข้งต่างชาติที่เกิดขึ้นที่ปราสาทสายฟ้ากับแข้งใหม่สี่รายอย่างเรนาโต้ เคลิช เซ็นเตอร์ร่างโย่งชาวโครเอเชีย, อัคบาร์ อิสมาตูลลาเยฟ กองกลางอดีตทีมชาติอุซเบกิสถาน, กิดี้ คันยุก มิดฟิลด์ตัวรุกชาวอิสราเอล อดีตเด็กเก่าทัคคาบี้ เทลอาวีฟ และมาร์โก เชโปวิช ศูนย์หน้าร่างโย่งอดีตทีมชาติเซอร์เบียจะสร้างความตื่นเต้นไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับการเสริมทีมของบีจีและท่าเรือ ขนาดทีมของปราสาทสายฟ้าเองก็ยังถือว่าเท่าเดิม  

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่แคมป์กิเลนผยอง เมืองทอง ยูไนเต็ดที่แม้จะได้ทั้งพิชา อุทรา, ภูมินทร์ แก้วตา, ฉัตรมงคล ทองคีรี และวงศกร ชัยกุลเทวินทร์ แต่ทั้งหมดที่ว่ามาก็ล้วนแต่เป็นแข้งอายุน้อยและไม่ได้เป็นบิ๊กเนมเหมือนอย่างที่ใครหลายคนตั้งตารอคอย

 

แม้จะเคยมีคนพูดว่า “เงินไม่อาจซื้อความสำเร็จได้” (เหมือนที่นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโตเคยพูดไว้ในสมัยที่ใช้จ่ายคล่องมือที่วูล์ฟแฮมป์ตันเมื่อช่วงซัมเมอร์เมื่อสองปีก่อน) แต่เราก็ปฎิเสธได้ยากอยู่เหมือนกันว่าการทำทีมฟุตบอลเพื่อให้พร้อมกับคำว่า “ตำแหน่งแชมป์” เงินยังถือเป็นปัจจัยที่สำคัญและการมีขนาดของทีมที่ใหญ่พอ, ดีพอและพร้อมมากพอก็ถือเป็นแต้มต่อที่ไว้ใช้แข่งขัน

 

บางทีอาจพูดได้ว่าการกลับมาของไทยลีกหนนี้กับการเสริมทีมโหดเหมือนโกรธใครมาของทั้งบีจีและท่าเรือ นี่อาจเป็นสมรภูมิรบที่แสงสปอร์ตไลท์จะฉายไปที่สองทีมที่ว่า และนี่จะเป็นอีกครั้งสำหรับการค้นหาคำตอบร่วมกันกับคำถามที่เคยมีคนตั้งข้อสังเกตุว่า “ความสำเร็จ..ถ้าอยากได้ต้องจ่ายมา?”

 

เราคงต้องมาดูกันว่าปรากฎการณ์ “สายเปย์” ที่เกิดขึ้นที่บีจีและท่าเรือจะทำให้พวกเขาเขยิบเข้าไปถึงคำว่าแชมป์ได้มั้ย หรือจะเป็น “มาเงียบๆแต่ฟาดเรียบ” ของทีมอื่นกันแน่ เสาร์นี้แหละจะได้เริ่มรู้กันซักที!


stadium

author

“akinson149” พงศ์รัตน์ วินัยวัฒนวงศ์

Moderator เพจ thailandsusu (Section: บทความ-แปลข่าวบอลไทย) และคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย

La Vie en Rose