stadium

"เจ" กับจ็อบใหม่ในวันที่ไร้ "มูซาชิ" ในถิ่นนกเค้าแมว!

21 สิงหาคม 2563

"เจ" กับจ็อบใหม่ในวันที่ไร้ "มูซาชิ" ในถิ่นนกเค้าแมว!

#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย

 

5 ตุงจากสี่นัดในการลงเล่นบนเวทีเจลีกบวกกับค่าเฉลี่ยในการทำประตูเป็นนาทีที่มีไม่ถึงชั่วโมงต่อลูกส่งผลให้คู่หูเพื่อนซี้ของเจ้าเจได้โยกก้นออกจากฮอกไกโดไปหาความท้าทายใหม่ไกลถึงเบลเยี่ยม

 

“ใช่ครับ!” ผมกำลังพูดถึงดีลที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานกับการย้ายทีมของศูนย์หน้าคอนซาโดเล ซัปโปโรอย่างมูซาชิ ซูซูกิที่เจ้าตัวได้ย้ายไปร่วมทีมเบียร์ช็อต วิลไรจ์ก ทีมน้องใหม่ในศึกจูปิแลร์ลีก และยังถือเป็นการออกไปค้าแข้งยังยุโรปเป็นครั้งแรกของเจ้าตัวอีกด้วย

 

ไม่ขอพูดถึงที่มาที่ไปและเหตุผลที่ทำให้ดีลย้ายทีมครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วแบบกึ่งฟ้าผ่า แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในถิ่นฮอกไกโดหลังจากนี้(โดยโฟกัสที่เจ้าเจ ชนาธิป สรงกระสินธ์)ต่างหาก

 

แม้โค้ชมิช่าจะเคยออกมาแสดงความมั่นใจว่าการย้ายออกของมูซาชิจะไม่ทำให้ทีมเสียสมดุลในเกมรุกเพราะบรรดากองหน้าที่มีอยู่ในตอนนี้ต่างก็มีดีกันอยู่ทุกคน ประกอบกับสามนัดหลังสุดที่ทีมลงเล่นบรรดากองหน้าที่ว่าก็ต่างพาเหรดพังประตูคู่แข่งกันถ้วนหน้า(ทั้งลูคัส เฟร์นานเดส, เจย์ โบธรอยด์ และแอนเดอร์สัน โลเปซต่างกดกันคนละตุงในบอลถ้วยและบอลลีก) แต่ถ้าใครได้ดูรูปเกมและจังหวะการเข้าทำของทีมนกเค้าแมวคงจะปฎิเสธกันไม่ออกอยู่เหมือนกันว่าแต่ละลูกนั้นมันได้มาแบบ “อึดอัดมากๆ”

 

ยิ่งพอมามองในเรื่องของสถิติของบรรดากองหน้าที่มีอยู่ในตอนนี้ โดยเฉพาะตัวต่างชาติทั้งลูคัส เฟร์นานเดส, เจย์ โบธรอยด์, แอนเดอร์สัน โลเปซและดักลาส โอลิเวียรา ทั้งหมดที่ว่ามาต่างมีค่าเฉลี่ยในการพังประตูคู่แข่งที่ดูจะ “บู่” พอๆกัน (11 เกมทั้งบอลถ้วยและบอลลีกได้มาแค่ลูกเดียวสำหรับลูคัส ในขณะที่ 10 เกมของเจย์ โบธรอยด์ก็ทำได้แค่เพียง 2 ตุงแค่นั้น ส่วน 7 เกมของดักลาสกับ 4 เกมสำหรับแอนเดอร์สัน โลเปซต่างมีกันคนละตุงเท่าๆกัน) พูดง่ายๆทั้งสี่รายยังยิงรวมกันได้ไม่มากกว่ามูซาชิทำคนเดียวเลยด้วยซ้ำ

 

พอฟังกันถึงตรงนี้ยังจะมีใครกล้าเผยอปากบอกว่าการเสียมูซาชิไปให้เบียร์ช็อต วิลไรจ์กเป็นเรื่อง “ชิวๆ” อยู่อีกมั้ย  

 

ผมว่าเวลานี้แฟนบอลในฮอกไกโดคงต้องมีสยิวหนาวๆร้อนๆอยู่บ้างเหมือนกัน และเรื่องการย้ายทีมของมูซาชินั้นอาจถือเป็นข่าวร้ายที่แย่ที่สุดนอกเหนือจากเรื่องโควิด-19 ก็เป็นได้

 

มีคนบอกว่า “อย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้ ทีมเรายังมีเจ ชนาธิปอยู่ทั้งคน”

 

“เหอะๆ” ผมบอกได้เลย(อย่างเต็มปาก)ว่าฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลที่ยากสำหรับเจและเผลอๆดีไม่ดีบางทีเจเองอาจต้องรับหน้าที่หนักขึ้นกว่าเดิมในสนาม

 

ด้วยความที่ว่าคอมบิเนชั่นในแนวรุกของซัปโปโรในตอนนี้ดูจะยังไม่ค่อยคลิ๊กกันเท่าไหร่และบรรดากองหน้าตัวต่างชาติที่มีอยู่มากมายก็ยังไม่อาจทดแทนมูซาชิได้ นั่นหมายความว่าบทบาทในฐานะ “ตัวชง” ในระบบการเล่นหลังสามอย่าง 3-4-1-2 หรือ 3-4-2-1 ที่โค้ชมิช่าถนัดใช้ ตำแหน่งหน้าต่ำหรือตัวซัพพอร์ตเกมรุกอย่างเจยิ่งจำเป็นต้องพยายามมีบอลไว้กับตัวให้มาก และในบางโอกาสก็อาจต้องรับบทเพชรฆาตจำเป็นเลยด้วยซ้ำ

 

ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยซักเท่าไหร่กับคำกล่าวที่ว่า “อยากให้เจเป็นราชาแอสซิสต์เจลีกฤดูกาลนี้” เพราะในทางกลับกันมันจะดีแค่ไหนถ้าได้ทั้งสองอย่าง(ยิงเองก็ได้-จ่ายให้เพื่อนยิงได้ก็ดี)

 

สังเกตุจากหลายๆนัดที่ผ่านมาดูเหมือนว่าคู่แข่งจะเริ่มรู้ทางและหน้าที่ของเจในสนามแบบอ่านขาด หนึ่งในนั้นคือ “เขาอ่านออกว่านักเตะไทยยังขาดความมั่นใจในการเป็นเพชรฆาตคือถ้าไม่จวนตัวจริงๆยังไงก็จ่ายหรือป้ายให้เพื่อนแน่ๆ” และถ้าหากมันเป็นแบบนั้นขีดความสามารถในการทำลายล้างเกมรับคู่ต่อสู้ของซัปโปโรคงจะดร็อปลงไปเห็นๆและฤดูกาลนี้อาจไม่ใช่ฤดูกาลที่โดดเด่นสำหรับตัวเจเอง

 

“ผมมักจะสั่งเด็กๆของผมให้ระมัดระวังนักเตะ “ตัวฟรี” อยู่บ่อยๆเพราะพวกนี้จะวิ่งอย่างอิสระและมักเก็บแรงไว้ในตอนที่ทีมเป็นฝ่ายครองบอล นักเตะพวกนี้จะวิ่งอยู่ระหว่างกองกลางกับกองหน้า คุณไม่มีทางเดาได้เลยว่าพวกเขาจะเล่นทางซ้าย,ขวาหรือตรงกลาง พวกเขาอาจโผล่ไปได้ทุกที่ในสนามและอาจสอดขึ้นมาเป็นเพชรฆาต นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องระวังอยู่ตลอดชนิดที่เผลอไม่ได้เลย” ส่วนหนึ่งของคำกล่าวจากบรมกุนซืออย่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่ปรากฏในหนังสือที่มีชื่อว่า “Leading” หนังสือที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมากกว่าแค่ตำราฟุตบอล

 

อย่ายึดติดกับคำว่า “มิดฟิลด์” จนบางครั้งทำให้เราหลงลืมสถานการ์ณของทีมที่กำลังเผชิญอยู่ และอย่าประเมินตัวเองให้ต่ำเกินไปว่า “เราคงทำไม่ได้” เพราะทุกวินาทีในสนามคือการพัฒนาและการเรียนรู้ และการเลือกที่จะทำในสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยอาจไม่ได้หมายถึงความผิดหวังที่รอเราอยู่..


stadium

author

“akinson149” พงศ์รัตน์ วินัยวัฒนวงศ์

Moderator เพจ thailandsusu (Section: บทความ-แปลข่าวบอลไทย) และคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย

โฆษณา