stadium

Exclusive Talk กับนักพากย์เจลีกดาวรุ่ง "ต้อง ภานุวัฒน์"

20 สิงหาคม 2563

#ChangsuekOutField 

 

หลังจากที่ศึกฟุตบอลเจ 1 ลีก ญี่ปุ่น ลีกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเอเชียได้มีแข้งไทยไปค้าแข้งอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่าน และได้รับความสนใจจากแฟนบอลไทยเป็นจำนวนมาก จนมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์และทางสื่อออนไลน์อย่างจริงจัง ซึ่งเชื่อว่าแฟนๆที่ได้ติดตามการถ่ายทอดสดคงจะต้องคุ้นหน้าผู้บรรยายคนหนึ่ง ที่ถึงแม้จะดูมีอายุน้อยแต่ประสบการณ์กับฟุตบอลญี่ปุ่นและความสามารถในการเป็นนักพากย์นั้นไม่ธรรมดา วันนี้ Ice Assist จากช้างศึก จะพาไปพูดคุยแบบ Exclusive กับนักพากย์ดาวรุ่งที่ทำหน้าที่บรรยายฟุตบอลเจ 1 ลีก ญี่ปุ่น กับ “ต้อง” ภานุวัฒน์ ใจยิ้ม

 

แนะนำตัวและประวัติในวงการสื่อฟุตบอลคร่าวๆ

 

ปัจจุบันอายุ 26 ปีครับ เป็นผู้สื่อข่าวกีฬา พิธีกร รวมถึงผลิตคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับฟุตบอลไทย แล้วก็มีช่อง Youtube ชื่อ “ต้องซุย” เป็นช่องที่พูดคุยเกี่ยวกับประเด็นต่างๆของฟุตบอลไทย นอกจากนี้ก็เป็นพิธีกรรายการ “ตูดูบอลไทย” ด้วยครับ ส่วนใหญ่ช่วงแรกๆที่เป็นผู้สื่อข่าวกีฬาผมก็ไปทำข่าวบอลนักเรียน รายการเยาวชนต่างๆ เพื่อให้ได้รู้จักว่านักกีฬาแต่ละคนคือใคร สักพักก็ได้ทำฟุตบอลไทยลีก ฟุตบอลทีมชาติไทย แล้วก็ไต่เต้ามาเรื่อยๆครับจนได้เป็นทั้งนักพากย์และพิธีกร ผมเป็นคนชอบฟุตบอลอยู่แล้วครับ ตั้งใจจะทำงานสายนี้มาโดยตลอด 

เข้าประเด็นการเป็นนักพากย์ดาวรุ่งกันก่อน มีที่มาที่ไปอย่างไร

 

ด้วยความที่ผมชอบฟุตบอลอยู่แล้ว ชอบการพากย์บอล ชอบเป็นพิธีกรด้วย เมื่อก่อนผมดูพี่เอกราช เก่งทุกทาง ผมก็ชอบพี่เขามากทั้งการอ่านข่าวและพากย์ฟุตบอล ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจมาตลอดครับ ตอนแรกๆที่ผมได้พากย์บอลคือพากย์เทปการแข่งขันเป็นบอลเยาวชนครับ ซึ่งเป็นเทปที่ถ่ายโดยกล้องตัวเดียว ต้องคอยสังเกตเบอร์เสื้อและเช็คกับใบรายชื่อ แน่นอนว่าดูยากมากครับ แต่มันก็คือการได้เริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนั้น 

 

หลังจากนั้นเริ่มได้พากย์สดทางช่องเคเบิล ส่วนใหญ่เป็นบอลเยาวชน บอลลีกเยาวชนก็เคยพากย์ ตอนนั้นผมเห็นศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ครั้งแรกในนัดชิงฯ น่าจะประมาณอายุ 14 ปี ถ้าจำไม่ผิด ศุภณัฏฐ์ หลบไป 4 คนแล้วยิงเข้า นอกจากนี้ยังมีรายการใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็เป็นบอลโค้ก คัพ

 

แต่ที่เป็นทางการเลยคือเอเชียน เกมส์ 2018 พากย์ทางออนไลน์ที่ช่องเวิร์คพ้อยต์ได้ลิขสิทธิ์ แต่ผมไม่ได้พากย์ทีมชาติไทยนะ พากย์ชาติอื่นๆครับ เช่น ลาว ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ล่าสุดก็ได้มาพากย์ฟุตบอลเจลีกนี่แหละครับ ด้วยความที่เราไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ภาษาที่เราเรียนมา มันก็เลยยากตรงเรื่องชื่อนักเตะ รวมถึงข้อมูลต่างๆที่เราต้องการหามันเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด จริงๆจะบอกว่าบอลเอเชียเรื่องพวกนี้ถือว่ายากหมด หลักๆคือภาษานี่แหละที่เป็นอุปสรรคสำคัญ แต่บอลเจลีกก่อนที่จะพากย์ถ้าผมสงสัยอะไรหรืออยากได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็จะทักไปถามพี่ “ทิซัง” (ทิวาพล สังขพันธ์) ล่ามของพี่เจ ชนาธิป หรือล่ามคนอื่นๆที่ติดตามนักฟุตบอลไทยที่ญี่ปุ่น รวมถึงใช้ประสบการณ์ที่เคยสัมผัสมาเองตอนไปทำข่าวที่ญี่ปุ่น และใช้คอนเนคชั่นกับนักข่าวญี่ปุ่นที่เคยรู้จักตอนที่ได้ติดตามพี่เจ ชนาธิป ด้วยครับ

 

Exclusive! กับบทสัมภาษณ์ "มาดามแพรว" ประธานสโมสรสุดสวยแห่งทัพกระรอกขาวจ้าวสนาม

 

เคยเป็นคนเกาะติดทำข่าว “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ญี่ปุ่น

 

ผมไปตอนปี 2018 ตอนนั้นมีนักเตะไทย 3 คนอยู่ที่ญี่ปุ่น มีพี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ พี่อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน และพี่มุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา ผมได้ไปเกาะติดคอนซาโดเล ซัปโปโรกับพี่เจที่ฮอกไกโด การไปครั้งนั้นผมต้องเป็นทั้งนักข่าวที่เขียนข่าวส่งกลับมาทุกวันและช่างภาพไปในตัว มีถ่ายทอดสดบรรยากาศที่นั่น ซึ่งผมก็เป็นพิธีกรด้วย ทั้งการคุยกับพี่เจ การซ้อมหรือบรรยากาศก่อนเกม-หลังเกม เป็นการไปคนเดียวด้วยครับ โดยเกมแรกที่ผมเจอต้องบอกว่าเป็นเกมประวัติศาสตร์ เพราะนักเตะไทยเจอกันเองครั้งแรก พี่เจ ชนาธิป เจอกับ พี่มุ้ย ธีรศิลป์ (คอนซาโดเล ซัปโปโร พบ ซานเฟรซเซ ฮิโรชิม่า) ที่พี่มุ้ยโหม่งประตูชัย

 

อย่างที่บอกครับว่าผมไปแบบตัวคนเดียวประมาณ 3 เดือน ก็ได้พี่ทิซังล่ามพี่เจเป็นคนช่วยแนะนำการใช้ชีวิตที่นั่น มันก็ยากอยู่เหมือนกันครับ แต่มันมีเสน่ห์ที่ทำให้ผมชอบคือแฟนบอลญี่ปุ่นต้อนรับคนไทยดีมาก พวกเขาดู “ว้าว” มาก ที่เห็นคนไทยมาทำข่าว ผมเองยังแปลกใจเลยว่านักเตะไทยมีมีอิมแพ็คกับแฟนบอลญี่ปุ่นขนาดนี้เลยเหรอ แถมในสนามก็มีทำป้ายและให้กำลังใจมุ้ยซัง ชนาคุง รวมถึงวัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลที่นั่นคล้ายยุโรปด้วยครับ เชียร์สนุกมาก ที่สำคัญคือคนญี่ปุ่นน่ารักมาก เด็ก วัยรุ่น ผู้สูงอายุ ดูฟุตบอลหมด ให้เวลาฟุตบอลเต็มๆเลยหนึ่งวันแถมมาเป็นครอบครัวด้วยครับ 

จุดเด่นของเจลีก ในมุมมอง “ต้อง ภานุวัฒน์”

 

หลังจากที่ได้มาพากย์เจลีกที่เห็นชัดๆเลยคือการเพรสซิ่ง ฟุตบอลที่ญี่ปุ่นนี่ไล่เพลสซิ่งกันตั้งแต่นาทีแรกเลยครับ ใช้พละกำลังกันเยอะมาก ไล่เพลสซิ่งกันตั้งแต่หน้าประตูคู่แข่ง แท็คติกก็เข้มข้น ใครขัดใจโค้ชนี่โดนเปลี่ยนแน่ อีกอย่างคือแพชชั่นที่สูงมาก ไม่มีคำว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ในสนาม ชุนสุเกะ นากามูระ ที่ว่าเป็นแข้งตัวเก๋าระดับตำนานยังโดนบี้หนักเลยครับ ที่สำคัญคือบรรยากาศการเชียร์ทำให้ภาพออกมาสวยแล้วก็ดูมีพลังกับการเชียร์มาก 

 

เจลีก เทียบกับ ไทยลีก

 

ถ้าเป็นในสนามก็คงเป็นเรื่องเพลสซิ่ง ฟุตบอลเจลีกวิ่งใส่กันตลอด เพรสซิ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจ พี่เจ ชนาธิป พี่มุ้ย ธีรศิลป์ ยังบอกว่าการมาเล่นที่ญี่ปุ่นนี่วิ่งใส่กันหนักมาก นอกจากนี้ก็มีเรื่องของพละกำลัง การวิ่งหาช่อง ถ้าเทียบกับฟุตบอลไทยหรือไทยลีกที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนามันก็มีความต่างกันอยู่แล้ว ในไทยลีกอาจจะมีบางทีมที่ทำได้ แต่ในเจลีกคือทุกทีมเลยครับที่ทำได้ ทีมน้องใหม่ที่ขึ้นมาก็ไม่แตกต่างจากทีมอื่นๆในลีกเลย

 

อีกอย่างคือแท็คติก เห็นชัดเลยคือธีราทร ที่พอเล่นเกมรุกก็จะหุบมากลาง ทั้งที่ในไทยเราไม่ได้เห็นจุดนี้เลย ในไทยอาจแค่แบ็คเติมสุด แล้วเปิดบอล แต่ในเจลีกมีอะไรหลายๆอย่างมากๆ หรืออย่างเช่นชนาธิปต้องวิ่งตรงอย่างเดียวห้ามไปกระชากบอลจากจุดอื่น หรือไดกิ สึงะทำไมไม่ค่อยจ่ายบอลให้ชนาธิป มันก็เป็นแท็คติกที่ถูกวางมา ซึ่งก็มีให้เห็นเหมือนกัน ด้วยความที่แท็คมันเข้มข้นอย่างมากทำให้บอลเจลีกจับทางได้ยาก จนทำให้ไม่มีแชมป์ตายตัว ปีนี้หนีตกชั้น ปีหน้าอาจจะลุ้นแชมป์ก็เป็นได้ ซึ่งคาชิว่า เรย์โซลเคยทำมาแล้ว ทีมไหนที่ไม่พร้อมหรือทำบอลชิวๆนี่เสี่ยงตกชั้นแน่นอนต่อให้เป็นทีมใหญ่ก็ตาม ส่วนไทยลีกแน่นอนว่ายังห่างกับเจลีกพอสมควร แต่เป็นเรื่องดีที่ช่วงหลังนักฟุตบอลไทยไปเล่นที่ญี่ปุ่นได้ แสดงให้เห็นว่าไทยลีกกำลังพัฒนาขึ้นมาเยอะจริงๆ 

 

สิ่งที่ประทับใจที่สุดกับวงการฟุตบอลเจลีก

 

ประทับใจที่สุดที่ผมเจอมากับตัวเลยคงเป็นเรื่องแฟนบอลที่ญี่ปุ่นใส่ใจนักเตะมาก ขนาดต่างชาติยังได้รับความใส่ใจไม่ต่างจากนักเตะญี่ปุ่นเองเลย ผมอยู่กับพี่เจ ชนาธิป 3 เดือน เห็นได้ชัดเลยว่าถ้าเขารักใครแล้วเขาทุ่มให้สุดหัวใจ ยิ่งถ้าโชว์ฟอร์มดี สิ่งแรกที่จะได้เลยคือเพลงเชียร์ประจำตัว ชนาธิปเองก็มีแล้วที่เอาเพลงของพี่เบิร์ด ธงไชย แม็คอินไตย มาดัดแปลง พวกเขาถึงขนาดมาหาเพลงพี่เบิร์ดไปดัดแปลงซึ่งผมชอบมาก นอกจากนี้ก็ป้ายวันเกิด และที่เราเห็นบ่อยๆคือธงชาติของนักเตะต่างชาติในญี่ปุ่น พวกเขาก็จะเตรียมมาแล้วมาโบกในสนามให้กำลังใจนักเตะคนนั้น แถมเวลาแพ้ก็ไม่มีมาโห่ใส่นักเตะตัวเอง พวกเขายืนร้องเพลงให้กำลังใจกันตลอด 

 

พวกเขารักนักฟุตบอลในสโมสรที่เขาเชียร์มาก และเมื่อเจอนักฟุตบอลนอกสนามก็จะไม่ออกตัวอะไรมากมาย พวกเขาเกรงใจ เขินอาย จึงแค่เดินเข้ามาขอจับมือ ได้รอยยิ้มแล้วก็เดินจากไปเท่านั้นเอง เหมือนกับการเจอไอดอลของเขาแล้วทำตัวไม่ถูกอะไรแบบนี้ อีกอย่างคือพวกเขายังใช้การเขียนจดหมายส่งเข้ามาที่สโมสรเพื่อให้กำลังใจนักฟุตบอลทั้งที่ในยุคนี้คือยุคของโซเชียลเน็ตเวิร์ค แถมในการซ้อมก็ยังมีแฟนบอลมาดูกันเยอะด้วยครับ


stadium

author

ICE Assist

Changsuek Content Creator

La Vie en Rose