stadium

สยามดาร์บี้กับ 90 นาทีของ มุ้ยซัง และ โก๋อุ้ม

19 สิงหาคม 2563

สยามดาร์บี้กับ 90 นาทีของ มุ้ยซัง และ โก๋อุ้ม

#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย

 

“408 ต่อ 751” คือจำนวนนาทีบนเวทีเจลีกฤดูกาลนี้ของเอลแดงดาและโก๋อุ้ม และ “1 ต่อ 7” คือจำนวนนัดที่เขาทั้งสองคนได้ยืนอยู่ในสนามครบ 90 นาทีในเจลีกซีซั่นนี้  

 

ห่างกันถึงเกือบเท่าตัวในด้านของเวลาในสนามและห่างกันแบบไม่เห็นไฟท้ายในจำนวนนัดที่ได้รับความไว้วางใจให้ได้เล่นครบ 90 นาทีถือเป็นสถิติที่เพียงพอที่จะบอกได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความแตกต่างในสถานการ์ณ “ความมั่นคง” ระหว่างนักเตะทั้งสองคน

 

คนนึงเป็นศูนย์หน้าเบอร์ 1 ของทีมชาติไทยในปัจจุบันแถมยังเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นจากไทยที่เคยได้มีโอกาสสัมผัสเวทีลาลีกา ในขณะที่อีกคนคือแบ็กซ้ายเบอร์ 1 ทีมชาติไทยในปัจจุบันและเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นจากไทยที่เคยได้แชมป์เจลีก จริงๆถ้าฟังกันแบบนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องโอกาสและการยอมรับ

 

เพียงแต่ฟุตบอลสมัยใหม่โดยเฉพาะในเวทีลีกชั้นนำของทวีป โค้ชส่วนใหญ่มักมองเรื่องของ “ปัจจุบัน” มากกว่าชื่อชั้นในอดีต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจลีกที่มีการเก็บสถิติละเอียดยิบทุกนัดการที่นักเตะแต่ละรายจะได้รับการยอมรับจากทีมงานโค้ชจำเป็นอย่างมากที่จะต้องสร้างผลงานในสนามให้เป็นที่ประจักษ์ (กับ 751 นาทีบนเวทีเจลีกที่มุ้ยได้รับโอกาสและทำได้เพียงประตูเดียวเท่านั้น ในขณะที่กองหน้าสัญชาติบราซิลอย่างจูเนียร์ คาร์ลินฮอสกลับทำได้สามตุงจากจำนวนนาทีในสนามที่น้อยกว่ากันถึง 50 นาทีนั่นคือการยกตัวอย่าง)

 

ที่ผมเกริ่นมาด้วยพารากราฟที่ยืดยาวกว่า3พารากราฟไม่ใช่เพื่อจะกดดันมุ้ยหรืออวยอุ้มหรอกนะ หากแต่ทั้งมุ้ยและอุ้มเองในเย็นวันนี้พวกเขามีโอกาสที่จะได้เจอกันในสนามแถมยังต้องลงเล่นในบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในหลายๆอย่าง  

 

คนนึงต้องการทำประตูให้ได้หลังจากห่างหายมานานตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล ในขณะที่อีกคนในฐานะผู้เล่นในแนวรับก็ต้องการทำอย่างไรไม่ให้ทีมเสียประตูให้ได้  

 

ในขณะที่ในอีกบริบทหนึ่งคนนึงกำลังมองหา “จุดรีบาวน์” ให้ตัวเองกลับเข้าสู่เส้นทางที่มันควรจะเป็นอีกครั้งในฐานะเพชรฆาต ในขณะที่อีกคนต้องการ “เมนเทน” หรือคงไว้ซึ่งทุกๆอย่างที่ตัวเองเคยสร้างมาตราฐาน พูดง่ายๆแมตช์ระหว่างชิมิสุ เอส-พัลส์กับมารินอสที่จะเตะกันเย็นนี้กับ 90 นาทีของสองนักเตะไทยอย่างมุ้ยซังและโก๋อุ้มมันแทบจะไม่แตกต่างจากไฟต์บังคับของการต่อสู้กันระหว่างบริบทแห่งความมืดและแสงสว่าง  

 

ยิ่งพอมองไปถึงอันดับในตารางกับสถานการ์ณของต้นสังกัดของนักเตะไทยทั้งสองรายที่ต่างตกอยู่ในสถานการ์ณที่ต่างต้องการแต้มมาด้วยกันทั้งนั้น กับการแพ้ไปแล้วเท่าๆกันถึง 5 นัดอย่าว่าแต่เรื่องของการทำอันดับให้ทีมได้ไปเล่นบอลถ้วยชิงแชมป์เอเชียเลยแค่พยายามเขยิบก้นขึ้นไปเกาะกลุ่มบนของตารางแบบติดท็อปไฟว์ให้ได้ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย  

 

ผมคิดว่าแมตช์ระหว่างเอส-พัลส์กับมารินอสสำหรับผมและ (เชื่อว่า) สำหรับแฟนบอลไทยอีกหลายๆท่าน นี่จะเป็นแมตช์ที่ใครๆต่างให้ความสนใจและถือเป็นแมตช์ใหญ่ระดับห้าดาวเลยทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่จะเป็น “สยามดาร์บี้” แต่กับบริบทที่กล่าวมาข้างต้นมันก็ช่วยส่งให้เราต้องคิดกันไปอย่างนั้น

 

“รักพี่มุ้ยก็เสียดายน้องอุ้มอยู่นะ” บางทีนี่อาจเป็นแมตช์ที่แฟนบอลไทยต้องข่มตาดูและลุ้นกันทุกวินาทีแบบที่หายใจได้ไม่ค่อยจะทั่วท้องเพราะมันค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนอยู่เหมือนกัน (ลุ้นให้มุ้ยออกสตาร์ทเป็นตัวจริงและยิงประตูให้ได้เยอะๆ ในขณะที่ก็ไม่อยากให้อุ้มพลาดเปิดโอกาสให้ทีมเสียประตูอีกเช่นกัน ถือเป็นการเชียร์บอลที่เหมือนจะโห่-เฮได้แต่มันก็ไม่สุดและขัดต่ออารมณ์ความรู้สึกพื้นฐานอยู่บ้าง)

 

ศึกสยามดาร์บี้บนเวทีเจลีกของสองนักเตะไทยเย็นนี้..การันตีความมันส์แน่นอน!


stadium

author

“akinson149” พงศ์รัตน์ วินัยวัฒนวงศ์

Moderator เพจ thailandsusu (Section: บทความ-แปลข่าวบอลไทย) และคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย

La Vie en Rose