จับตาอินโดฯโฉมใหม่กับการล้างไพ่แบบ “ออล นิว การูด้า!”

จับตาอินโดฯโฉมใหม่กับการล้างไพ่แบบ “ออล นิว การูด้า!”  

#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย

แม้จะเคยมีข่าวของการไม่ลงรอยกันระหว่างเฮดโค้ชชาวเกาหลีใต้อย่างชิน แท ยองกับผู้หลักผู้ใหญ่ในสมาคมฟุตบอลของอินโดนีเซียแต่บทสรุปก็อย่างที่เราทุกคนทราบคือจบลงด้วยการจูบปากแฮปปี้กอดแขนทำงานกันต่อ และในตอนนี้ก็กลายเป็นว่าอินโดฯเองกำลังอยู่ในเส้นทางของการเป็นขวากหนามให้ทั้งไทย, ยูเออีและเวียดนาม

ที่ผมพูดอย่างนั้นเพราะว่าจากข่าวที่ออกมาอินโดฯเองกำลังเตรียมทีมกันอย่างขะมักเขม้นและดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาไทยด้วยชุดใหญ่ไฟกระพริบชนิด “ออล นิว การูด้า” (ซึ่งว่ากันว่าหน้าตาของทีมดูจะเปลี่ยนไปชนิดเกือบยกทีม)

ไม่ขอพูดถึงที่มาที่ไปว่าทำไมนายใหญ่อย่างชิน แท ยองถึงต้องการล้างไพ่ทั้งสควอดในทีมชาติชุดใหญ่เพราะหากท่านผู้อ่านได้ติดตามข่าวสารตามหน้าเว็บไซด์ต่างๆและรวมไปถึงบทความที่ผมเคยเขียนไว้ในเพจช้างศึกนี้เชื่อว่าท่านจะทราบดีถึงที่มาที่ไปของการตัดสินใจของเขา  

แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงคืออะไรบ้างที่เราจะต้องเตรียมรับมือในแมตช์ที่จะเปิดบ้านให้การต้อนรับพวกเขาและทำไมการมาเยือนไทยในหนนี้ของอินโดฯจึงชวนให้เรารู้สึกน่าพรั่นพรึงอยู่บ้างต่างหาก

อย่างแรกเลยนะคือเรื่องของความฟิตและความกระหายที่ว่ากันว่าพวกเขาจะมีมากกว่าเดิมหลายเท่า!  

นั่นเพราะจากการประกาศรายชื่อตัวผู้เล่นทั้ง 29 รายที่ชิน แท ยองเรียกมาเข้าแคมป์ฝึกซ้อมตั้งแต่อาทิตย์ก่อนมีแต่บรรดาดาวรุ่งและหน้าใหม่ที่ไม่เคยติดทีมชุดใหญ่ แถมยังปราศจากตัวเก๋าและดาวดังอีกมากมาย พูดง่ายๆคือ “ล้างไพ่”

ไม่มีทั้งฮันซามู ยามา ปราการหลังจากเปอร์เซบายา สุราบายา, สเตฟาโน่ ลิลิปาลีย์ ลูกครึ่งอินโดฯ-เนเธอร์แลนด์ กองกลางตัวรุกอดีตเด็กเก่าอูเทร็คท์, อันดรีตานี่ อาร์ดียาซ่า นายทวารจอมเก๋าผู้ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์คว้ารางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกาวันได้ถึงสองปีติดต่อกัน(ปี 2017 และ 2018) และก็ไม่มีเบโต้ กอนซัลเวส ศูนย์หน้าตัวเก๋าวัย 39 ปี เจ้าของสถิติยิง 10 ประตูจากการรับใช้ชาติทั้งหมด 12 นัด (เห็นกันไหมล่ะว่าบรรดาชื่อที่กล่าวมาคุ้นหูแทบทั้งนั้นแต่ดันไม่ถูกชิน แท ยองเรียกมา)

ในขณะที่การเรียกแข้งหน้าใหม่ส่วนใหญ่ก็เป็นนักเตะจากชุดยู21 และยู23 ทั้งเอลแคน แบ็คก็อต กองหลังวัย 17 ปีจากอิปสวิช ทาวน์, คูเช็ดยะ ฮาริ ยูโดะ กองหน้าวัย 27 ปีจากอารีม่า, อารีฟ ซาเธียร์ ปราการหลังวัย 24 ปีจากเปอร์เซบายา สุราบายา, มิสวา สาพุธา นายทวารวัย 24 ปีจากพีเอสเอ็ม มากัสซาร์ และไอ คาเดง อังค์ วินยาน่า กองกลางวัย 22 ปี อีกหนึ่งวันเดอร์คิดจากบาหลี ยูไนเต็ด ทั้งห้ารายที่ว่าถือเป็นหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยติดทีมชุดใหญ่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของชิน แท ยองที่ต้องการสร้างการูด้าสายเลือดใหม่ขึ้นมาให้ได้

ผมคิดว่าเรื่องของความกระหายและความตั้งใจของบรรดาดาวรุ่งและในรายที่ยังไม่เคยติดทีมชุดใหญ่ย่อมต้องมีมากกว่าคนหน้าเก่า(ที่เราคุ้นเคย)อย่างแน่นอน และนั่นจะเป็นที่มาของการ “วิ่ง-สู้-ฟัด” ชนิดไปให้สุดแล้วหยุดเมื่อกรรมการเป่านกหวีตและนั่นแหละที่มันน่ากลัวสำหรับเรา

อย่างที่สองคือ “ทฤษฎีบอลเปลี่ยนโค้ช”    

เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่าบอลเปลี่ยนโค้ชเป็นอะไรที่คาดเดาได้ยากสุดๆ นั่นเพราะคู่ต่อสู้แทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทีมที่ว่า ทั้งระบบทีม, แนวทางการเล่น, ชุด 11 ตัวจริง, ผังในการยืนตำแหน่ง หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆอย่างใครจะได้รับความไว้วางใจให้ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ทั้งหมดที่ว่าล้วนตกอยู่ภายใต้ “ความว่างเปล่า”  

ในขณะที่ของเราเขากลับมีโอกาสศึกษาทั้งระบบการเล่น, นักเตะขาประจำ, สไตล์ของนักเตะไทยจากแมตช์ที่ผ่านๆมาและจากผู้เล่นที่กำลังค้าแข้งในไทยลีกอย่างยันโต บัซนากองหลังพีที ประจวบเอฟซี พูดง่ายๆงานนี้ “เขารู้เราแต่เราไม่รู้อะไรเขาเลยซักกะนิด”  

และจากทั้งสองข้อในข้างต้นก็พอจะอนุมานได้ว่าอินโดฯชุดที่จะมาเยือนไทยจะดูเปลี่ยนไปจากชุดที่เราบุกไปชนะเขาแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า และถึงแม้จะเป็นเกมในบ้านของเราแต่มันก็คงไม่ง่ายแบบ “ลูบปาก” อยู่ดีนั่นแหละ  

ยิ่งถ้าเกิดเราประมาทหรือเกิดชะล่าใจมองข้ามช็อตไปโฟกัสที่แค่แมตช์เยือนยูเออีก็อาจเป็นเราที่จะมอบแต้มแรกให้พวกเขาก็อาจจะเป็นไปได้ (อย่าลืมนะว่าเขาไม่มีอะไรต้องกดดัน ในขณะที่เรานอกจากจะเอาสามแต้มในแมตช์นี้แล้วยังมีเรื่องผลต่างประตูได้-เสียที่ต้องตุนให้เยอะเข้าไว้ก่อนอีก)

“ไม่เคยมีงานที่ง่ายสำหรับการจะเป็นผู้ชนะ” และแมตช์กับออล นิว การูด้ากับการกลับมาของคัดบอลโลกในแบบนิวนอร์มอลคงต้องมาตามลุ้นกันว่าผลจะจบลงแบบไหนและใครจะมีชัยเหนือราชมังฯ หลังจากที่โควิด-19 ได้พรากคัดบอลโลกไปจากเรานานถึงเกือบปี..