15 กันยายน 2565
เมื่อนึกถึงคำว่า “เจ้าหญิงแห่งวงการฮ็อกกี้น้ำแข็งไทย” หลายคนคงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับ ความน่ารักสดใสที่มักจะมาพร้อมกับท่าที่แห่งความขี้เล่น รวมทั้งการวางตัวอย่างเป็นกันเองของ “น้ำตาล” วิลาสินี รัตนนัย ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เธอก้าวขึ้นมามีบทบาทและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งจากบทบาทนักกีฬา การเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ ตัวตนของความคลั่งไคล้ลิเวอร์พูล และ การออกรายการต่างๆ ที่เรื่องราวเบื้องหลังชีวิตอีกด้านของเธอ สร้างแรงบันดาลใจและเรียกน้ำตาให้กับผู้ชมได้อย่างมากมาย
นี่เป็นอีกครั้งที่ผมได้มีโอกาสดี นัดเวลาและสถานที่ในการพูดคุยกับน้องน้ำตาลได้ เพราะตารางชีวิต 7 วัน ที่น้องได้โชว์ให้ดูระหว่างพูดคุยกันนั้นเรียกว่า แน่นเอี้ยด จากตัวตนของความแอคทีฟที่ทำหลายอย่างในช่วงอายุ 24 ย่างเข้า 25 ปี ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดที่เธอได้เล่า ช่วยสร้างมุมมองและแง่คิดดีๆมากมายและทั้งหมดผมจะสรุปลงมาในคอนเทนต์ชิ้นนี้
***บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2563
1. ความแอคทีฟ ที่มีทั้งจากความเต็มใจ และ จากการหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากที่น้องได้พาไปสักการะบูชา เจ้าแม่กวนอิม เราก็ได้ข้ามฝั่งมานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟฝั่งตรงกันข้าม Hong Di Coffee "อั่งตี๋ คอฟฟี่" คาเฟ่จีน สไตล์Modern ซึ่งบรรยากศภายในร้าน โล่ง โปร่ง นั่งสบายทีเดียว สำหรับใครที่ชื่นชอบบรรยากาศร้านแนวนี้ หรือมีแผนไปตำหนักเจ้าแม่กวนอิม ก็ลองไปนั่งชิวๆกันได้เลย
จุดหนึ่งที่ค้นพบคือ น้ำตาล โดนผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ต่างจากคนอื่น เพราะเธอมีรายได้ประจำจากการฝึกสอนกีฬาไอซ์ฮ็อกกี้ แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากคนส่วนใหญ่คือการที่เธอไม่จมอยู่กับวิกฤติที่เกิดขึ้นและลุกขึ้นมาทำหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งเพื่อความอยู่รอด และ เพื่อการสร้างความสุขให้ตัวเอง
“ปกติหนูเป็นคนชอบทำอะไรหลายอย่างนะถ้าจังหวะนั้นมีเวลาว่างมากพอ ซึ่งก่อนหน้าช่วงโควิด-19 ก็ได้ออกไปทำอะไรตามใจซึ่งเป็นการพักผ่อนหรือผ่อนคลายไปในตัว แต่พอเราสอนไอซ์ฮ็อกกี้ไม่ได้ ก็ต้องเริ่มหันมาทำอะไรที่เป็นการสร้างรายได้ให้ตัวเอง ทั้งขายของ ทำขนม และ รับทุกงานที่เข้ามา”
“บทเรียนครั้งนี้มันได้สอนให้หนูรู้ว่า ความกระตือรือร้น มันสำคัญมากๆเลยนะคะ โดยเฉพาะกับหนูที่ต้องดูแลตัวเองให้ได้ แล้วเราก็ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากทำ ซึ่งถ้าตอนนี้หยุดเรื่องการหารายได้ มันก็จะกระทบกับสิ่งที่ตั้งใจอยากทำเอาไว้ … ก็อย่างว่านะพี่ ความฝันด้านธุรกิจมันต้องใช้เงินอะ”
ความฝันของน้ำตาล ค่อนข้างจะมีหลายอย่างจริงๆ ทั้งแบรนด์เสื้อผ้า ร้านทำเล็บ การเป็นโค้ชกีฬา การสร้างมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคม … แม้ว่าในภาวะที่เหตุการณ์บ้านเมืองผิดปกติ แต่ปลายทางชีวิตที่เธออยากจะทำให้สำเร็จ ยังไม่เคยผิดเพี้ยนไปจากเดิมเลย
และสิ่งที่ค้ำจุนหรือ แรงผลัก ที่อยากทำ กับ แรงถีบ ที่ต้องทำเพื่อให้โอกาสของสิ่งที่อยากทำยังคงอยู่ ซึ่งทั้งหมดต้องใช้ความ แอคทีฟ หรือ ความกระตือรือร้น ซึ่งเริ่มจากตัวเองไม่ต่างกัน
2. “บราวนี่ที่โรยด้วยน้ำตา” ที่สอนว่า … ความคิดชนะโชคชะตาได้เสมอ
“หนูอยากหาเวลาไปฉลองแชมป์ด้วยการแต่งตัวเป็น โม ซาลาห์ แล้วเดินเล่นข้างนอกด้วยนะพี่” การจั่วหัวประโยคนี้ ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความสดใสที่เธอยังคงมี ทั้งๆที่การพูดคุยก่อนหน้าค่อนข้างจะเป็นเรื่องซีเรียส และ เกี่ยวกับประเด็นปัญหาในช่วงที่ผ่านมาพอสมควร ซึ่งได้ทำให้ผมได้รับรู้เลยว่า ภายใต้ช่วงเวลาที่ยากลำบาก เรายังสามารถมีมุมหรือความคิดเล็กๆที่ซุกซนได้เสมอ และคงไม่ใช่เรื่องที่ผิดหากสิ่งเหล่านั้นจะทำให้พลังบวกยังไม่ได้หายไปไหนจากตัวเราเอง
จนนำมาสู่ประโยคคำถามเกี่ยวกับพลังอันเอ่อล้นในตัว “น้ำตาล” ที่เชื่อมั่นเสมอว่า ความคิดที่ดีสามารถเอาชนะช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต ซึ่งทั้งเมื่อก่อนและตอนนี้ หลักการดังกล่าวยังเป็นอาวุธที่ทำให้เจ้าหญิงแห่งวงการฮ็อกกี้น้ำแข็ง ยังคงความสดใสและใช้ชีวิตแบบมีพลังขับเคลื่อนในเชิงบวกอยู่เสมอ
“ถามว่ามีบางครั้งที่เราหงุดหงิด หรือ บ่นขึ้นมาว่าชีวิตไม่ดีเลยไหม … มันก็มีเผลอปากไปบ้างแหละ เพียงแต่หนูจะไม่จมอยู่กับมันนานจนเกินไป เพราะไม่มีอะไรดีเลย สู้เอาเวลาลุกขึ้นมาทำอย่างอื่น หรือ ลองปรับมุมมองบางอย่างที่เริ่มได้จากตัวเองก่อน แค่นั้นก็ช่วยให้ตัวหนูมีความสุขได้แบบไม่ยากเลย”
เรื่องราวหนึ่งที่น้องเล่า แล้วสะท้อนมุมมองความคิดเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ ความล้มเหลวจากการพยายามทำบราวนี่ … ที่รุนแรงถึงขนาดทำให้เธอ ต้องนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
“พี่เข้าใจป่ะ อารมณ์มันเหมือนช่วงนี้อะไรๆก็แย่ แล้วพอเราเลือกที่จะทำบราวนี่เพื่อคลายเครียดด้วยและเป็นการสร้างรายได้เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับช่วงรายได้หดหาย ก็ยังจะเป็นอีกอย่างที่ทำออกมาได้ไม่ดีอีก … จนเริ่มรู้สึกว่า โอ้โหโชคชะตาช่วงนี้มันช่างแย่เหลือเกิน แต่พอคิดว่า เราอยากจะทำมันให้ได้ แค่นั้นแหละ จากที่ร้องไห้คนเดียว เราก็เริ่มด้วยการซื้ออุปกรณ์ใหม่ เอาแบบที่มันดีๆไปเลย แล้วก็เริ่มทำใหม่ ทำอยู่หลายรอบเลยนะ จนกระทั่งทำออกมาได้ในที่สุด ซึ่งจากออเดอร์ที่เข้ามา มันทำให้หนูดีใจและภูมิใจมากๆ”
ตัวผมเองก็อาจจะเล่าข้ามไปข้ามมาบ้าง แต่ที่อยากจะสะท้อนให้เห็นคือ แม้กระทั่งกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ คนเราก็สามารถควบคุมความคิดตัวเองได้ก่อนเสมอ และ นั่นคือกุญแจที่นำพาเราสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเรื่องเหล่านั้นถ้ายิ่งยาก ก็ยิ่งสร้างความภาคภูมิใจได้มากเสมอ เมื่อเรามองหันกลับไปจุดที่ผ่านมาได้
3. ชื่อเสียง … สิ่งที่ไม่ได้มาด้วยความตั้งใจ แต่ขอทำและใช้ให้ดีที่สุด
“เอาจริงๆ คือเรื่องที่ว่าอยู่ดีๆเราก็มีชื่อเสียงขึ้นมา นี่ไม่ใช่ความตั้งใจอะไรของหนูเลยนะ หนูก็บ้าๆบอๆ กับชอบที่จะทำสิ่งต่างๆตามที่ตัวตนหนูเป็น เพียงแต่ในเมื่อวันนี้เรากลายเป็นบุคคลนึงที่คนรู้จักเยอะ ซึ่งบางคนก็ให้เกียรติถึงขนาดยกให้เป็นไอดอล หรือ แบบอย่าง มันยิ่งผลักดันให้หนูห้ามท้อแท้ต่อสิ่งใดและที่สำคัญมันคือโอกาสที่หนูจะได้สร้างสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ หากปราศจากชื่อเสียงหรือการสนับสนุน”
ประโยคดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่เราคุยกันถึงเรื่องความยากลำบากของกีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็ง ซึ่งไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจที่ทั้งการซ้อมทีม หรือ ร่วมแข่งขันรายการระดับลีกเพื่อเคาะสนิม กลับเป็นเหล่านักกีฬาที่ต้องออกค่าใช้จ่ายด้วยตัวเอง ซึ่งด้วยชื่อเสียงทำให้มีคนพร้อมสนับสนุน น้ำตาล แต่เธอกลับมีความตั้งใจอยากให้สปอนเซอร์สนับสนุนทีมกีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็งทั้งทีมมากกว่า จึงบอกปฏิเสธไป
ส่วนเส้นทางของการเป็นนักกีฬาอาชีพที่แม้จะลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายแค่ไหน แต่น้องก็ขอสู้นั้นเป็นเพราะจากการที่เธอรับรู้ได้ว่า มีเด็กๆหรือเยาวชนรุ่นใหม่ มองเธอเป็นแบบอย่าง และทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อม ขณะเดียวกันเธอก็ยังหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆที่จะช่วยสร้างมิติใหม่ของวงการไอซ์ฮ็อกกี้ ไทยให้ได้
“มันก็มีอย่างอื่นที่หนูอยากทำเยอะแยะไปหมด และ บางครั้งก็มีที่คิดขึ้นมาว่าอยากเลิกเล่นเหมือนกันนะ แต่พอเรากลับมาคิดถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ได้ … กีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็งนี่แหละคือสิ่งที่ให้ชีวิตกับหนูและกีฬานี้อาจจะกำลังเป็นสิ่งสำคัญของใครอีกหลายคน ดังนั้นหนูรู้สึกว่าตัวเองควรทำหน้าที่นี้ต่อไปให้ดี รวมถึงว่าวันนึงเราอาจมีโอกาสผันตัวเองมาเป็นโค้ช หรือ มุมที่ถ่ายทอดทุกสิ่งอย่างสู่รุ่นต่อไป”
“ต่อให้เราจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่ง แต่การได้เห็นสิ่งที่เรารักและรักเรา (ในที่นี้คือไอซ์ฮ็อกกี้) ก้าวหน้าหรือพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น มันก็คือความสุขและเป็นเป้าหมายหนึ่งที่หนูคิดว่าจะได้เห็นสักวัน”
การเป็นบุคคลตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของทั้งวงการกีฬาและวงการอื่นๆ อาจไม่ใช่แค่ความเก่งหรือประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่เป็นการคำนึงถึงคนอื่นๆ การเห็นแก่ประโยชน์ที่มากกว่าตัวเองเพียงคนเดียว
4. ความรับผิดชอบ 3 ด้าน: สิ่งที่ต้องทำ ควรทำ และ อยากทำ
อีกบทบาทที่เราเห็นได้ชัดเจนในช่วงโควิด คือ การทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคม หรือ ทำกิจกรรม CSR ของน้องน้ำตาล ที่แม้ว่าจะไม่ได้มีผู้สนับสนุนเป็นแบรนด์ธุรกิจ หรือ มีทุนทรัพย์ที่เหลือล้นฟ้า แต่ด้วยหัวใจของการเป็นผู้ให้เท่าที่แรงจะมีให้ได้ มันเอ่อล้นออกมา จึงนำพาเธอสร้างสรรค์กิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆในการ เปิดไลฟ์สดร้องเพลง และ รับบริจาค ซึ่งครั้งที่ผมเข้าไปส่ง น่าจะเป็นการบริจาคให้กับโรงทานวัดลาดพร้าว และช่วยเหลืออาหารสุนัขจรจัดบ้านป้าจุ๊ … ซึ่งเป็นสะท้อนเล็กๆ ที่ดังกว่าการพูดเฉยๆ ถึงคำว่า “เราจะผ่านพ้นโควิด ไปด้วยกัน” ได้เป็นอย่างดี
“ถ้ามีแรง มีกำลัง และมีเวลาอีก หนูก็จะทำต่อไป เพราะเราเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีช่วงชีวิตที่เดือดร้อน เราเข้าใจดีว่าสถานการณ์ของคนที่เดือดร้อน หรือ ไม่มีที่พึ่งเป็นอย่างไร ดังนั้นอะไรที่หนูคิดว่าพอทำได้ พอจะช่วยเหลือกันได้ หนูก็เต็มใจที่จะทำเสมอ”
ผมเองก็ถามน้องกลับไปตรงๆว่า จากที่คุยกันมาก็พอจะพูดได้ว่า ช่วงสถานการณ์โควิดเราเองก็น่าจะแย่นี่ ทำไมยังมีเวลามาคิดช่วยเหลือสังคมอีก …
“พลังหนูเยอะคะพี่ คือเราก็มีสิ่งที่ต้องทำเพื่อตัวเราเอง หนูยังคงต้องหารายได้เช่นกัน หนูยังมีค่าใช้จ่ายประจำ หนูยังต้องเรียนให้จบ หนูยังต้องซ้อมกีฬา แต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมว่าควรทำอะไรด้วย เช่นเดียวกับสถานการณ์แบบนี้ ที่เราควรจะช่วยเหลือกันตามกำลังที่จะทำไหว แล้วในฐานะนักกีฬา หนูก็ยังควรดูแลสภาพร่างกายตัวเองให้ดีด้วย ไม่ใช่เอาแต่นอนอืดอยู่บ้าน ชีวิตคนเรามีหลายสิ่งนะคะ ที่หนูคิดว่าควรรับผิดชอบให้ดี”
ทันทีที่ผมฟังน้องเล่าจบ ก็สรุปได้ว่า 3 สิ่งที่เธอกำลังรับผิดชอบอยู่นั้นคือ บทบาทหน้าที่ที่เธอต้องทำ และการไม่เพิกเฉยต่อสิ่งที่ควรทำ รวมถึง การยังคงรักษาไว้ซึ่งความฝันที่อยากทำ
ซึ่งนี่คือบทเรียนหนึ่งที่เชื่อว่าทุกชีวิตคงต้องเจอ กับการจัดการถึงความรับผิดชอบทั้ง 3 ด้าน ที่ขับเคลื่อนให้คนเรามีเป้าหมาย มีจริยธรรม และ ยังคงมีซึ่งความหวังและความฝัน
5. ผู้หญิงอ่อนโยนได้ แต่ไม่ควรอ่อนแอ
จากความเชื่อที่ผมคิดว่า คนทุกคนย่อมมีจุดอ่อน ก็เลยลั่นปากถามน้องไปตรงๆ แบบฟ้าผ่าเลยว่า อะไรคือสิ่งที่คิดว่าเป็นจุดอ่อนของตัวเอง ซึ่งคำตอบที่ได้คือ
“หนูเป็นคนขี้ใจอ่อน ขี้สงสารนะ บางเรื่องราวที่ไม่ค่อยดีในชีวิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากนิสัยส่วนตัวเหล่านี้ แต่อีกมุมหนูก็เชื่อว่าทุกนิสัยมันสร้างทั้งผลบวกและลบให้กับคนเราได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่หนูเลือกคือการพยายามที่จะเป็นคนเข้มแข็งให้ได้มากที่สุด แล้วมันจะทำให้เรารู้สึกว่าความอ่อนโยนของเราอะ คือสิ่งที่มีค่า ส่วนใครจะมาหาช่องทำร้ายเราจากนิสัยนั้นก็เรื่องของเขา”
ท้อแท้ เหนื่อยล้า สิ้นหวัง ไม่ได้ดั่งใจ อกหัก ตังหมด ฯลฯ คือ เรื่องด้านลบที่ “น้ำตาล” เคยเผชิญและผ่านมาทั้งหมด แต่สิ่งที่เธอเลือกส่งมอบหรือถ่ายทอดออกมาสู่คนหมู่มาก คือพลังด้านบวก ที่มาจากความเข้มแข็งของเธอเอง
ภายใต้ความน่ารักสดใสเป็นกันเอง และ ความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมุมมองกับทัศนคติของเธอนั่นแหละ คือสิ่งที่สร้างนางฟ้าที่เข้มแข็งและสง่างาม ดุจดั่งภูเขาน้ำแข็ง
แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบมากกว่า กับการมองว่าเธอคือ “นางฟ้าแห่งมานะตน”
TAG ที่เกี่ยวข้อง