stadium

6 สุดยอดนักซิ่ง F1 ที่ครองบัลลังก์แชมป์โลกมากที่สุด

13 เมษายน 2568

จากยุคบุกเบิกถึงยุคโมเดิร์น พวกเขาคือแชมป์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการตลอดกาล

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการมอเตอร์สปอร์ตเริ่มได้รับความสนใจในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ “อเล็กซานเดอร์ อัลบอน อังศุสิงห์” หรือ “อเล็กซ์ อัลบอน” นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ได้สร้างชื่อเสียงบนเวทีระดับโลกในศึกฟอร์มูล่า วัน (Formula 1)

 

วันนี้ Stadium TH ขอพาทุกคนย้อนรอยไปรู้จักกับ Top 6 สุดยอดนักแข่งผู้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของกีฬาแข่งรถ พวกเขาไม่ใช่แค่ “แชมป์” แต่คือแรงบันดาลใจของคนทั้งรุ่น และยังคงส่งอิทธิพลมาถึงปัจจุบัน

 

 

7 สมัย - มิชาเอล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher)  

 

สำหรับแฟนฟอร์มูล่าวันหลาย ๆ คน จุดเริ่มต้นของความหลงใหลในกีฬานี้อาจเริ่มจากชื่อของชายผู้เป็นตำนานแชมป์โลก 7 สมัยอย่าง “มิชาเอล ชูมัคเกอร์” นักแข่งชาวเยอรมันผู้กลายเป็นแรงบันดาลใจของทั้งวงการ

 

เขาเริ่มต้นชีวิตหลังพวงมาลัยตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ ด้วยพื้นเพจากครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับสนามโกคาร์ท ก่อนจะก้าวเข้าสู่ฟอร์มูล่าวันในปี 1991 กับทีม Jordan และคว้าแชมป์โลกครั้งแรกกับทีม Benetton ในปี 1994 และ 1995 กลายเป็นนักแข่งชาวเยอรมันคนแรกที่คว้าแชมป์โลก

 

แต่ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเขาย้ายมาร่วมทีม Ferrari ในปี 1996 และนำทีมสู่ยุคทองด้วยการคว้าแชมป์โลก 5 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2004 ยกระดับ Ferrari ให้กลายเป็นทีมที่ไร้เทียมทาน

 

แม้เขาจะไม่ได้โลดแล่นในสนามอีกต่อไป แต่ชื่อ “ชูมัคเกอร์” ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของ ความมุ่งมั่น ความทุ่มเท และจิตวิญญาณของนักสู้ ที่แท้จริง เขาไม่ใช่แค่แชมป์...แต่คือ “ต้นแบบแห่งตำนาน”

 

 

7 สมัย - ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) 

 

ในยุคโมเดิร์น ไม่มีใครไม่รู้จัก ลูอิส แฮมิลตัน นักแข่งลูกครึ่งแอฟริกัน-อังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์ F1 ผู้เปลี่ยนภาพจำของวงการแข่งรถไปตลอดกาล

 

พรสวรรค์ของเขาถูกค้นพบตั้งแต่อายุ 13 ปี โดย McLaren และ Mercedes ก่อนจะเปิดตัวในปี 2007 กับ McLaren และสร้างประวัติศาสตร์ทันทีด้วยการคว้าโพเดียมตั้งแต่สนามแรก และเกือบคว้าแชมป์โลกตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ลงแข่ง

 

ในปี 2008 เขาทำสำเร็จ นับหนึ่งกับการคว้าแชมป์โลก และกลายเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดในยุคนั้น และจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อเขาย้ายไปสู่ทีม Mercedes และกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์โลกอีก 6 สมัย (2014, 2015, 2017, 2018, 2019, 2020)

 

ปัจจุบัน แฮมิลตันได้ย้ายไปยังทีม Ferrari เพื่อเริ่มบทใหม่ในเส้นทางการแข่ง หากเขาสามารถคว้าแชมป์โลกได้อีก 1 สมัย เขาจะกลายเป็นนักแข่งคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ครองแชมป์โลก F1 ได้ถึง 8 สมัย มากที่สุดตลอดกาล

 

 

5 สมัย - ฮวน มานูเอล ฟานจิโอ (Juan Manuel Fangio) 

 

ก่อนที่ฟอร์มูล่าวันจะกลายเป็นกีฬาที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยเช่นในปัจจุบัน ชายคนหนึ่งได้สร้างตำนานไว้บนเส้นทางอันยากลำบาก เขาคือ “ฮวน มานูเอล ฟานจิโอ” นักแข่งชาวอาร์เจนตินา เจ้าของแชมป์โลก 5 สมัยในยุคแรกเริ่มของ F1

 

ฟานจิโอเปิดตัวในปี 1950 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการจัดการแข่งขัน F1 อย่างเป็นทางการ และสามารถคว้าแชมป์โลกได้ในปีถัดมา (1951) กับทีม Alfa Romeo แต่ความพิเศษของเขาอยู่ตรงที่สามารถ คว้าแชมป์กับ 4 ทีมที่แตกต่างกัน สิ่งที่ไม่มีใครเคยทำได้อีกเลย 

 

ปี 1954–1955 คว้าแชมป์กับ Mercedes ต่อด้วยปี 1956 แชมป์กับ Ferrari และปิดท้ายในปี 1957 แชมป์กับ Maserati ซึ่งเป็นปีที่เขาโชว์ฟอร์มได้แบบเหนือชั้น ไล่แซงคู่แข่งหลังเปลี่ยนยางล่าช้า แต่สุดท้ายกลับมาคว้าแชมป์ได้อย่างเหลือเชื่อ
 

หลังคว้าแชมป์โลก 5 สมัย ฟานจิโอประกาศอำลาวงการในปี 1958 ขณะที่ยังอยู่บนจุดสูงสุดของอาชีพ พร้อมฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะนักแข่งที่ เปลี่ยนยุคของตัวเองด้วยทักษะล้วน ๆ ไม่ใช่เทคโนโลยี

 

เขาคือ “ราชาแห่งยุคคลาสสิก” ผู้ทำให้โลกรู้ว่า ความเร็วที่แท้จริง…ไม่ใช่แค่บนแทร็ก แต่คือลีลาที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้

 

 

4 สมัย - อแล็ง พรอสต์ (Alain Prost)

 

อแล็ง พรอสต์ หนึ่งในนักแข่งที่ถูกยกย่องว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในยุค เป็นชาวฝรั่งเศส ที่มีสไตล์การขับที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นความสุขุม รอบคอบ และใช้สมองวางแผนการแข่งขันในแต่ละสนาม จนได้รับฉายาว่า “The Professor” เพราะเขาไม่ได้เอาชนะด้วยความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่จิตใจและความเด็ดเดี่ยวของคนขับหลังพวงมาลัยนั่นเอง

 

เจ้าตัวคว้าแชมป์โลกครั้งแรกในปี 1985 กับทีม McLaren ตามด้วยปี 1986 และ 1989 ก่อนจะคว้าแชมป์สมัยที่ 4 กับทีม Williams ในปี 1993 พอรสต์ไม่ใช่นักขับที่ชนะด้วยความหวือหวา แต่เขาขึ้นชื่อเรื่องมันสมองและความนิ่งลึก ที่น้อยคนนักจะทำได้

 

 

4 สมัย - เซบาสเตียน เวทเทล (Sebastian Vettel)

 

หากพูดถึงช่วงเวลาอันโดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม Red Bull Racing ต้องยกให้ยุคของ “เซบาสเตียน เวทเทล” นักขับชาวเยอรมันผู้เป็นเสมือน อาวุธลับที่แข็งแกร่งของทีม เขาคือเด็กหนุ่มผู้ทะยานขึ้นมาจากศูนย์ จนกลายมาเป็นแชมป์โลกในที่สุด 

 

เวทเทลสร้างชื่อจากการคว้าแชมป์โลก 4 สมัยติดต่อกัน ในปี 2010–2013 ด้วยความเร็วที่ดุดัน การควบคุมรถที่แม่นยำ และสภาพจิตใจที่เยือกเย็นแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันที่สุด เวทเทลเปลี่ยน Red Bull ให้กลายเป็นทีมแชมป์ และเขาเองก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่แห่งความเร็ว

 

 

4 สมัย - แม็กซ์ เวอร์สแตปเพน (Max Verstappen)

 

ปิดท้ายด้วยผู้นำ F1 คนใหม่อย่าง “แม็กซ์ เวอร์สแตปเพน” นักขับชาวเนเธอร์แลนด์ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือ ราชันย์ในยุคปัจจุบัน กับสไตล์การขับที่โดนเด่นไม่เหมือนใคร จนหลายๆคนต่างพากันพูดว่า รถที่เขาขับมีเพียงชายคนนี้ผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถควบคุมมันได้ 

 

หลังจากคว้าแชมป์โลกสมัยแรกในปี 2021 เขาก็เดินหน้ากวาดแชมป์โลกต่อเนื่อง และล่าสุดในปี 2024 เขาคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ร่วมกับทีม Red Bull Racing กลายเป็นนักแข่งคนล่าสุดที่เข้าสู่สโมสรแชมป์ 4 สมัย ซึ่งมีสมาชิกเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์

 

สไตล์การขับของเวอร์สแตปเพนคือ เน้นความดุดัน มั่นใจ และเด็ดขาด พร้อมกับทักษะที่เฉียบขาดในทุกโค้ง ทุกการแซง ทุกสนามที่ลงแข่ง เขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้มาเล่น ๆ แต่คือ “ราชันย์ของสนามแข่ง” ในยุคนี้ตัวจริงเสียงจริง

 

ในโลกแห่งความเร็วระดับสูงอย่าง F1 การจะก้าวขึ้นไปเป็น “แชมป์โลก” ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งพรสวรรค์ การฝึกฝนอย่างหนัก ความกล้าเผชิญความเสี่ยง และหัวใจที่ไม่ยอมแพ้

 

ไม่ว่าจะคว้าแชมป์ได้กี่สมัย ทุกคนที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้น ต่างเป็นยอดนักขับตัวจริง ที่ฝากแรงบันดาลใจไว้ให้กับแฟนๆ ทั่วโลก และผลักดันให้วงการมอเตอร์สปอร์ตก้าวไปข้างหน้าเสมอ

 

Stadium Th ขอร่วมชื่นชมและให้เกียรติกับทุกตำนานนักแข่ง F1 ที่ได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้โลกต้องจดจำตลอดกาล


stadium

author

อดิศักดิ์ คูวัฒนากุล

StadiumTH Content Creator