stadium

เมื่อทัพ'เดอะไวท์'มีนายใหม่ชื่อ “ฮอร์เก้ หลุยส์ ปินโต้!”

1 กรกฎาคม 2563

เมื่อทัพ'เดอะไวท์'มีนายใหม่ชื่อ “ฮอร์เก้ หลุยส์ ปินโต้!”

#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย

 

เพิ่งจะเป็นข่าวออกมาสดๆร้อนๆเมื่อวานนี้เมื่อสมาคมฟุตบอลของยูเออีประกาศแต่งตั้งฮอร์เก้ หลุยส์ ปินโต้ (Jorge Luis Pinto Afanador) กุนซือชาวโคลัมเบียวัย 67 ปี อดีตนายใหญ่ทีมชาติคอสตาริกาชุดพาทีมเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในบอลโลกปี 2014 มานั่งแท่นเป็นโค้ชทีมชาติยูเออี เพื่อพาทีมกำราบทีมจากอาเซียนอย่างไทย, มาเลย์, อินโดฯ และเวียดนาม หวังกรุยทางเข้ารอบต่อไปให้ได้ในคัดบอลโลกแมตช์ที่เหลือทั้งสี่นัด  

 

“ว้าว..!” คือคำอุทานคำแรกที่ผมเปล่งออกมาทันทีที่ได้เห็นหน้าข่าว เพราะนายฮอร์เก้คนนี้ไม่ใช่คนอื่นคนไกล หากแต่ถ้าใครจะยังพอจำกันได้เขาก็คือชายร่างใหญ่ที่ในคัดบอลโลกหนที่แล้วในรอบอินเตอร์คอนเฟเดเรชั่นส์หรือรอบชิงตั๋วใบสุดท้ายระหว่างทวีป ชายผู้นี้ได้พาทีมชาติฮอนดูรัสพ่ายออสเตรเลียไป 1-3 อดได้ไปรัสเซียอย่างน่าเสียดาย เขานั่นแหละ!

 

ผมคิดว่าเหตุผลใหญ่ๆที่สมาคมฯยูเออีไม่ลังเลที่จะแต่งตั้งนายคนนี้มันมีอยู่ด้วยกัน 1-2 เรื่อง

 

เรื่องแรก คือ โปรไฟล์ดีเป็นที่ถูกอกถูกใจ เพราะจากรางวัลเกียรติยศมากมายของเจ้าตัวพ่วงด้วยผลงานในบอลโลกในครั้งที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ (ปี 2014) ด้วยการพาคอสตาริกาเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายชนิดโค่นทั้งอุรุกวัยและอิตาลีได้ในรอบแบ่งกลุ่ม บวกรางวัลกุนซือยอดเยี่ยมของทวีปคอนคาเคฟปี 2014 (ด้วยผลโหวตแซงเข้าป้ายชนิดทิ้งเจอร์เก้น คลินส์มันน์กุนซือทีมชาติสหรัฐอเมริกาชนิดไม่เห็นไฟท้าย) ย่อมเป็นที่ถูกใจคนในสมาคมฯยูเออี  

 

ไม่เพียงแค่นั้นเขายังเป็นโค้ชที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักล่าถ้วยรางวัลแห่งอเมริกาใต้ เพราะเจ้าตัวเล่นพาทีมในระดับสโมสรกวาดแชมป์เข้าตู้มาแล้วมากมายทั้งอลิอันซ่า ลิมา สโมสรใหญ่ในเปรู, อลาจูเรนเซ่ สโมสรจากคอสตาริกา,คูคูต้า เดปอร์ติโว่ สโมสรจากโคลอมเบีย และเดปอร์ติโว่ ทาชิร่า ทีมดังในเวเนซุเอลา) ทั้งหมดที่ว่าถือเป็นการการันตีว่าเจ้าตัว “ไม่ธรรมดา”

 

เรื่องที่สอง คือ “ประสบการณ์คับแก้ว” เพราะการผ่านงานคุมทีมในระดับสโมสรมาทั้งหมด 23 สโมสรบวกกับงานคุมทีมชาติอีก 3 ชาติ(คอสตาริกา, โคลอมเบีย และฮอนดูรัส) ทำให้เจ้าตัวมีประสบการณ์และความรู้ในศาสตร์ฟุตบอลอย่างมากมายมหาศาล  

 

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสไตล์การทำทีมของเจ้าตัวที่เน้นเกมรุกด้วยระบบ 4-2-3-1 แบบที่ใช้มิดฟิลด์ตัวรุกถึงสามคนนั้นตอบสนองต่อความต้องการของคนในสมาคมฯและแฟนบอลยูเออีเป็นอย่างดี เพราะสถานการณ์ของยูเออีในคัดบอลโลก พวกเขาจำเป็นอย่างมากที่จะต้องชนะให้ได้ทั้งหมดในสี่เกมที่เหลือ ดังนั้นความจำเป็นในการมองหาใครก็ได้ที่จะมาขัดชะเนาะเกมรุกหลังจากที่ผลงานของทีมในยุคเบิร์ต ฟาน มาร์ไวค์ พบเจอแต่เรื่องปืนฝืดจึงถือเป็นไพรออริตี้ใหญ่ (หากไม่นับผลการแข่งขันกับทีมที่มีแรงกิ้งต่ำกว่ามากอย่างอินโดฯและเยเมน ตลอดปี 2019 ที่ผ่านมาไม่มีเกมไหนเลยที่ยูเออีจะชนะคู่แข่งแบบขาดๆ)    

 

อ่านมาถึงตรงนี้เหมือนจะเป็นงานหนักของพี่ไทยอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับความเห็นส่วนตัวของกระผมนั้น การที่ยูเออีแต่งตั้งนายฮอร์เก้เข้ามามันก็พอจะมีข้อดีสำหรับเราอยู่บ้าง

 

ข้อแรก คือนายฮอร์เก้ไม่เคยผ่านงานคุมทีมในทวีปเอเชียมาก่อนเลยซักกะทีม ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่และน่าจะทำให้เขาต้องใช้เวลาเรียนรู้-ปรับตัวกับฟุตบอลในย่านนี้มากกว่าใคร  

 

และถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเคยประสบความสำเร็จกับการคุมทีมในทวีปอเมริกาใต้และคอนคาเคฟมา แต่สไตล์ของฟุตบอลเอเชียก็ค่อนข้างจะแตกต่างกับทั้งสองทวีปที่ว่า (คิดกันง่ายๆการทำงานภายใต้ธรรมเนียมปฎิบัติหรือทรัพยากรที่มีอยู่แตกต่างย่อมไม่ใช่งานที่ง่าย เพราะมันมีทั้งเรื่องของภาษา, มุมมอง, วัฒนธรรม และที่สำคัญด้านสรีระร่างกายที่นักเตะยูเออีนั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากนักเตะจากทั้งคอสตาริกา, โคลอมเบียและฮอนดูรัส)  

 

ข้อที่สอง คือ “ถูกที่แต่อาจไม่ถูกเวลา” ยอมรับว่าชื่อชั้นของโค้ชฮอร์เก้นั้นการันตีถึงผลงานได้ แต่ท่ามกลางความโกลาหลของสถานการณ์โควิด-19 ในยูเออีที่มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อวันหลักหลายร้อยคน ซ้ำยังส่งผลให้ลีกภายในมีอันต้องถูกยกเลิก ผมคิดว่าการแต่งตั้งโค้ชที่เคยทำงานในยูเออี (อาจจะเคยคุมสโมสรที่นั่นหรือเป็นอดีตโค้ชที่เคยทำงานในตะวันออกกกลาง) น่าจะเป็นอะไรที่ดูจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะด้วยระยะเวลาที่เหลือซึ่งมันมีอยู่แค่ราวสามเดือนเศษเท่านั้นกับสิ่งที่โค้ชฮอร์เก้ต้องเผชิญหลังจากนี้นี่จะไม่ใช่งานที่ง่ายเลยสำหรับเขา (เผลอๆบางทีการแต่งตั้งครั้งนี้อาจดูจะช้าเกินไปหน่อย แถมการที่ยูเออีได้นายใหม่เป็นคนที่ไม่เคยคลุกคลีอยู่ในวงการฟุตบอลเอเชียแบบนี้อีกด้วย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการต้อง “นับ ก.ไก่” ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเสียเปรียบทั้งไทย, มาเลย์และเวียดนามที่มีกุนซืออยู่กับทีมมาแล้วตั้งนาน)  

 

“Football is coming back” ฟุตบอลกำลังจะกลับมา และเราคงต้องมาดูกันว่าเวลาสามเดือนหลังจากนี้ที่ทุกทีมต่างมีอยู่เท่ากัน ใครล่ะจะทำได้ดีกว่า...

 

ระหว่าง “เดอะตุ๊ก” กับ “ซิโก้” ใครคือศูนย์หน้าเบอร์1ของเมืองไทย ?

กว่าจะเป็น "สุธี สุขสมกิจ"

เมื่อ"เสือเหลือง"และ"ดาวทอง"หมายมองตำแหน่งจ้าวอาเซียน


 


stadium

author

“akinson149” พงศ์รัตน์ วินัยวัฒนวงศ์

Moderator เพจ thailandsusu (Section: บทความ-แปลข่าวบอลไทย) และคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย

MAR 2024 KV