24 มิถุนายน 2563
เมื่อ"เสือเหลือง"และ"ดาวทอง"หมายมองตำแหน่งจ้าวอาเซียน
#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย
แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในบ้านเราจะเริ่มเข้าใกล้กับคำว่า “โหมดปกติ” เข้าไปทุกที แต่หากชำเลืองมองดูเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคหลายประเทศก็ยังอยู่ในอาการโคม่าและยังไม่มีทีท่าว่าสถานการณ์จะสงบลงในเร็ววัน (ทั้งอินโดฯ, ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ต่างมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อวันหลักหลายร้อยคน) พูดง่ายๆ “อาเซียนยังหนัก”
และจากประกาศของฝ่ายจัดการแข่งขันรายการชิงจ้าวอาเซียนอย่างอาเซียนคัพ 2020 ที่โปรแกรมทุกอย่างจะยังคงกำหนดการเดิมแถมโมเดลที่จะใช้ฟาดแข้งกันก็ยังจะใช้โมเดลใหม่ที่ไม่มีเจ้าภาพ พูดแบบบ้านๆคืออาเซียนคัพหนนี้จะมีทีมที่มาไม่ได้เต็มร้อยเหมือนทุกๆปี และเผลอๆดีไม่ดีก็อาจมีทีมเฉพาะกิจส่งเข้าแข่งขัน
วางแผนเดินทางกันยังไง? ทีมของเราจะสามารถเรียกนักเตะมาเข้าแคมป์ฝึกซ้อมได้เมื่อไหร่? จะส่งทีมไปแข่งดีมั้ย? และถ้าไปจะใช้ชุดไหนไปแข่งดี? เชื่อว่าชุดคำถามเหล่านี้คงจะวนเวียนอยู่ในหัวของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน หากสถานการณ์ในช่วงปลายปีนี้ยังไม่คลี่คลายในบางชาติ
แต่ก่อนที่เราจะมโนไปไกลถึงจุดนั้นจุดที่สถานการณ์ในหลายๆที่ยังคงความยากลำบาก ผมแอบเหลือบไปเห็นข่าวจากสื่อท้องถิ่นของเวียดนามและมาเลย์ที่ทั้งคู่ดูจะกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องว่าพวกเขาน่าจะมีความพร้อมมากกว่าใครและถ้วยแชมป์อาเซียนครั้งนี้คงจะไม่หนีไปไหน
เวียดนามกำลังได้ใจจากผลงานในคัดบอลโลกที่ยืนตระหง่านเป็นจ่าฝูงกลุ่มจีแบบที่ขอแค่ชนะอีกแค่ 2 นัดก็จะแบเบอร์เข้ารอบต่อไปได้ ในขณะที่มาเลย์เองทั้งนักเตะและโค้ชก็ต่างมั่นใจว่าพวกเขาดีพอสำหรับแชมป์อาเซียนคัพ (สัมภาษณ์กี่ครั้งก็บอกว่า “มั่นมาก” เพราะขนาดพี่ไทยที่มีสถิติครองแชมป์อาเซียนมามากที่สุด ตรูยังตบคว่ำมาแล้วได้ สาอะไรกับทีมอื่นที่ไม่ได้มีดีกรีอะไรมากมาย)
จริงๆแล้วถ้าจะพูดกันในเชิงเปรียบเทียบกับทีมชาติไทย นี่ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาพอจะคุยโตได้เพราะมันมีเหตุผลรองรับอยู่อย่างสองอย่างที่ให้เชื่อไปอย่างนั้น
อย่างแรกเลย คือเราจะไม่ได้ใช้ชุดที่ดีที่สุดไปแข่งในขณะที่พวกเขาจัดเต็มแบบเน้นๆ
ก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าลีกภายในของเราจะกลับมาเตะกันใหม่ในช่วงกลางเดือน ก.ย. ลากกันไปยาวๆแบบไม่มีหลบให้อาเซียนคัพ และพอเป็นแบบนี้บรรดาตัวหลักของแต่ละสโมสรก็คงจะต้องอยู่รับใช้ต้นสังกัด และก็คงจะมีแต่กลุ่มรายชื่อที่โค้ชแต่ละที่เขาไม่เลือกใช้ไว้ให้ลุงโน๊ะได้พิจารณา พูดง่ายๆคือไทยแม้จะไปในนามชุดใหญ่แต่อาจเป็นทีมที่ต่างออกไปจากเดิมอย่างมาก (ไม่มีตัวจากเจลีก, นักเตะหน้าคุ้นอาจมาไม่ได้ แถมอาจต้องใช้ดาวรุ่งเป็นแกนหลัก)
ในขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลย์เอง สมาคมฯของพวกเขาต่างวางเป้าสำหรับอาเซียนคัพหนนี้คือแชมป์เท่านั้น และนั่นจึงเป็นที่มาของการกำหนดไดเร็กชั่นให้โปรแกรมลีกภายในรวมไปถึงกำหนดการเรียกเข้าแคมป์ทีมชาติดูจะมีทิศทางที่เอื้อและสอดรับกัน (วีลีกรันมาแล้วได้ซักพักและหากไม่มีอะไรผิดพลาดก็จะเตะกันจบฤดูกาลก่อนที่อาเซียนคัพจะเริ่มถึงสองอาทิตย์เศษด้วยกัน ในขณะที่เอ็มลีกมีการเปิดเผยจากฝ่ายจัดว่ามีโอกาสจะกลับมาเตะกันใหม่ได้เร็วกว่ากำหนดเดิมแถมจะวางคิวเว้นให้ทีมชาติเป็นระยะๆ)
อย่างที่สองคือ เวียดนามกำลังขึ้นหม้อ ในขณะที่มาเลย์เองมีขุมกำลังจากนักเตะโอนสัญชาติ
ยอมรับกันตามตรงว่าทีมชาติเวียดนามในเวลานี้กับผลงานที่ผ่านๆมาเขาควรได้รับการขนานนามให้เป็นเบอร์ 1 ในย่านนี้ เพราะทั้งอันดับฟีฟ่าและจากผลงานในทัวร์นาเม้นต์ต่างๆพวกเขาก็ทำผลงานได้ดีกว่าใครในภูมิภาค
ทีมชาติเวียดนามที่เกิดจากส่วนผสมของนักเตะรุ่นๆที่เล่นอยู่ด้วยกันมานาน แถมนักเตะหลายคนก็กำลังอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 24-28 ปีซึ่งถือเป็นช่วงที่พีคที่สุดของการค้าแข้งอาชีพ ประกอบกับแนวการทำทีมของโค้ชปาร์ค ฮัง ซอที่เน้นเรื่องความฟิตกับกลยุทธิ์ “รับรอโต้” เวียดนามจึงกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมากและกลายเป็นทีมที่เล่นกับใครก็ “แพ้ยาก”
เฉกเช่นเดียวกับมาเลเซียที่มาในคอนเซ็ปต์ “เสือเหลืองเลือดผสม” ที่เกิดจากการหลอมรวมระหว่างผู้เล่นมาเลย์ดั้งเดิม, ลูกครึ่งและตัวโอน(สัญชาติ) มาเลเซียกลายเป็นทีมที่ดีขึ้นมาแบบผิดหูผิดตา และด้วยองค์ประกอบในอุตสาหกรรมฟุตบอลภายในประเทศที่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าไทย ลำพังแค่สิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรยะโฮร์ ดารุล ทักซิม ดินแดนที่ป้อนผู้เล่นเข้าสู่ทีมชาติได้มากที่สุดก็เพียงพอที่จะทำให้เสือเหลืองของโค้ชตัน เชง โฮผงาด (มีระบบอะคาเดมี่ที่เป็นที่ยอมรับ, มีสนามแข่งขันและสนามซ้อมที่เพรียบพร้อมในทุกๆด้าน และที่สำคัญบรรดานักเตะฝีเท้าดีและโค้ชชื่อดังต่างมารวมกันอยู่ที่นี่)
นักเตะอย่างโมฮามาดู ซูมาเรห์ ศูนย์หน้าผิวสีลูกครึ่งมาเลย์-แกมเบีย, แมทธิว เดวิส แบ็คขวาที่เกิดและเติบโตที่ออสเตรเลีย, ลาเวียร์ คอร์บิน-ออง เซ็นเตอร์ลูกครึ่งมาเลย์-บริติช อดีตเด็กเก่าเอฟเอสเฟา แฟร้งค์เฟิร์ต ทีมดังในบุนเดสลีกา หรือแม้แต่พวกดาวรุ่งอย่างวาน คูเซียน กองกลางวัย 21 ปีลูกครึ่งมาเลย์-อเมริกันซึ่งปัจจุบันกำลังค้าแข้งอยู่กับสปอร์ติ้ง แคนซัส ซิตี้ ทีมดังในเมเจอร์ลีกสหรัฐ และลุคแมน ฮาคิม ชามสุดิน วันเดอร์คิดวัย 18 ปีที่พึ่งจะพลาดการไปค้าแข้งกับเควี คอร์ไทรจ์ สโมสรดังในเบลเยี่ยมเพราะพิษโควิด-19 ทั้งหมดที่ว่ามาล้วนถือเป็นผู้เล่นที่น่าจับตา
ถ้าไทยมีเจ้าแบงค์ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตาเป็นวันเดอร์คิด ที่เวียดนามและมาเลย์ก็มีเหงียน กวง ไฮและลุคแมน ฮาคิม ชามสุดินตามลำดับ ผมคิดว่าอาเซียนคัพหนนี้จะเป็นเวทีที่สู้กันสนุกระหว่างไทย, เวียดนามและมาเลย์ และด้วยปัจจัยหลายๆอย่างบางทีนี่ก็อาจจะเป็นบททดสอบใหม่และถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้แก่ทีมชาติไทย
โลกทัศน์ที่ว่า “เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะเอาอย่างทีมชั้นนำอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วยการให้รายการภูมิภาคเป็นเวทีสำหรับการหาช้างพลายเชือกใหม่ และตำแหน่งจ้าวอาเซียนจากนี้เป็นต้นไปสำหรับไทยจะไม่ได้มาจากอาเซียนคัพ?”
-อาเซียนคัพหนนี้กับวลี “เบอร์1อาเซียนยังต้องการอยู่มั้ย ?”
-เราเห็นอะไรจากแฟนบอลไทย ในฟุตบอลโลกจำลอง
-5 แมตช์แห่งความทรงจำ ช้างศึกโต๊ะเล็ก VS ทีมระดับโลก
TAG ที่เกี่ยวข้อง