5 สิงหาคม 2564
มีคนบอกว่าการพาทีมเข้าชิงฯนับว่ายากแล้ว ยิ่งถ้าเป็นการรักษาแชมป์ยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่สำหรับชายที่ชื่อ ดานี่ อัลเวส บางทีนี่อาจเป็นนัดชิงฯที่เขาอาจไม่อยากลงเล่น!
“คงเป็นเรื่องที่ดีกว่า..หากในรอบชิงฯคู่แข่งจะไม่ใช่สเปน เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ว่าครึ่งนึงของผมคือคนบราซิลและอีกครึ่งก็คือคนสเปน” คำกล่าวของเจ้าตัวที่ได้ให้ไว้ก่อนที่บทสรุปในรอบสี่ทีมสุดท้ายจะเกิดขึ้น
ทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้น? ดานี่ อัลเวสมีพ่อหรือแม่เป็นชาวสเปน? หรือตัวเขาเองได้สิทธิ์ถือสองสัญชาติ?
คำตอบของคำถามข้างต้นคงต้องย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของเขาก่อนที่โลกจะมีแบ็คขวาที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดแห่งยุค
ดานี่ อัลเวสเกิดและเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะยากจน พ่อของเขาเป็นชาวนา ในขณะที่แม่เป็นแม่บ้าน พ่อของเขาเคยเล่าว่าตอนที่ดานี่อายุได้หกขวบ ทุกวันตอนตีสี่เขากับพ่อมักจะออกไปทำงานที่ฟาร์มในทุ่งซึ่งห่างไกลจากตัวเมืองจูอาเซย์รูถึงสามสิบกิโลเมตรเพื่อหาเงินประทังชีวิต ซึ่งเงินที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรแค่เพียงพอซื้อข้าวของเลี้ยงคนในบ้านแต่ละวันก็เท่านั้น นับเป็นช่วงเวลาที่ต้องอดทนอย่างมากและลำบากที่สุด
ดานี่หลงไหลในกีฬาลูกกลมๆและเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลในตำแหน่งแบ็คซ้ายและปีกซ้าย แต่ด้วยความที่ว่าเขามักจะทำประตูคู่แข่งไม่ได้และมักเสียบอลบ่อย นั่นจึงเป็นที่มาที่พ่อของเขาจับเขามาเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาแทนและเริ่มต้นฝึกฝนการเล่นในฝั่งขวาอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา
ด้วยความที่ว่าดานี่คลั่งไคล้ในฟุตบอลอย่างมาก ถึงขนาดที่ตัวเขาเองมักถือลูกฟุตบอลออกไปซ้อมอยู่คนเดียวบ่อยๆหลายชั่วโมงจนคนในบ้านต้องออกมาตามให้กลับบ้าน และนั่นคือที่มาของความแข็งแกร่งทางร่างการที่มีเหนือเด็กในวัยเดียวกัน ก่อนที่ทีมท้องถิ่นอย่าง จูอาเซย์รู จะเล็งเห็นและดึงเข้าสังกัดและทำให้เจ้าตัวได้ย้ายมาร่วมทีมบาเฮียจนมีส่วนช่วยทีมคว้าแชมป์ได้ในฤดูกาลแรกที่เจ้าตัวย้ายมาร่วมทีม
ความสำเร็จของเจ้าตัวในฤดูกาลแรกกับการค้าแข้งอาชีพกับบาเฮียโด่งดังไปไกลถึงสเปนจนแมวมองของเซบีย่าเองไม่อาจจะทนรอต่อไปได้ พวกเขาเดินเครื่อง “ล็อคเป้า” ด้วยการส่งจดหมายขอยืมตัวดานี่ทันทีก่อนที่ฟุตบอลชิงแชมป์เยาวชนโลกจะมีขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่านักเตะรายนี้ “มีของ” และถ้าพวกเขารอก็อาจชวดได้ของดีเข้าทีม
“พวกเขาคิดไม่ผิด!” อัลเวส พาบราซิลเป็นแชมป์เยาวชนโลกแถมเจ้าตัวยังถูกเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดประจำทัวร์นาเม้นต์ทำให้เซบีย่าจัดแจงมอบสัญญาถาวรให้โดยไม่ลังเล ซึ่งตัวเขาก็ตอบแทนสโมสรด้วยการพาทีมคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์, สแปนิส ซูเปอร์ คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ยูโรปา คัพ สองสมัยติดต่อกัน
ต่อมาไม่นานเซบีย่าก็เดินเรื่องขอสัญชาติสเปนให้เขาเพื่อที่ทีมจะได้ไม่ต้องเสียโควต้านักเตะนอกอียูและก็เพื่อให้ตัวเขาเองได้รับข้อยกเว้นในการขอใบอนุญาติทำงานในการค้าแข้งในอียู ซึ่งภายหลังมีการรายงานว่ามันคือหนึ่งในข้อเรียกร้องของเจ้าตัวในการต่อสัญญากับเซบีย่า
จริงๆแล้วช่วงเวลาที่นับว่าพีคที่สุดในการค้าแข้งของดานี่และถือเป็นช่วงที่ทุกสปอร์ตไลท์ต้องฉายมาที่เจ้าตัวนั้นคือช่วงเวลาที่เขาลงเล่นให้สโมสรบาร์เซโลน่า
23 แชมป์ตลอดแปดปี ที่เขารับใช้สโมสรแห่งนี้ในฐานะแบ็คขวาที่ดีที่สุดของทีมแสดงถึงความสำเร็จในการล่าฝันบนเส้นทางนักเตะอาชีพได้เป็นอย่างดี และหนึ่งในเหตุการ์ณที่น่าจดจำและได้รับการยกย่องมากที่สุดสมัยที่เจ้าตัวอยู่กับบาร์ซ่าก็คือการที่เจ้าตัวสามารถรับมือกับเหตุการ์ณการเหยียดผิวในสนามได้อย่างชาญฉลาด
ครั้งนั้นในแมตช์ที่พวกเขาต้องลงเล่นกับบียาร์เรอัล ในจังหวะที่ทีมได้ลูกเตะมุมและดานี่เลือกที่จะเป็นคนทำหน้าที่นั้น มีกองเชียร์จากฝั่งคู่แข่งปากล้วยลงไปในสนาม(ในจุดที่เขาอยู่พอดี) พร้อมทั้งร้องเพลงล้อเลียน แต่แทนที่เขาจะโมโหและตอบโต้ด้วยการสบถด่ากลุ่มกองเชียร์ที่ว่า เขากลับเลือกที่จะหยิบกล้วยขึ้นมาปอกเปลือกและทานจนหมดเกลี้ยงและทำหน้าที่ของเขาในสนามต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหตุการ์ณดังกล่าวได้รับคำยกย่องมากมายจากสื่อหลายสำนักและจากนักเตะในทีมบาร์เซโลน่าด้วยกัน แม้แต่เนย์มาร์และเมสซี่เองก็ยังโพสรูปที่พวกเขากินกล้วยลงโซเชียลจนกลายเป็นไวรัลจนนักเตะจากหลายสโมสรทั่วยุโรปต่างออกมาทำตาม และเหตุการ์ณในครั้งนั้นนอกจากจะทำให้อัลเวสได้รับการยอมรับแล้วก็ยังทำให้เขาเป็นที่รักของคนสเปนนับจากนั้น ถึงขนาดที่ว่ามีแคมเปญเรียกร้องให้เขาลงเล่นในนามทีมชาติสเปนออกมาให้เห็น
อาจกล่าวได้ว่าสเปนคือบ้านหลังที่สองของอัลเวสและสเปนก็คือที่ซึ่งให้ชีวิตและความสำเร็จในการค้าแข้ง เพราะตัวเขาเองก็มักพูดอยู่เสมอว่าความประทับใจที่สุดในชีวิตการค้าแข้งก็คือการได้ลงเล่นที่สเปน และนั่นก็คือคำตอบที่ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากเจอสเปนในนัดชิงฯ
ในวันที่ ดานี่ อัลเวส แบกความหวังของคนในชาติไว้บนบ่ากับหน้าที่ในการเดินหน้าพาทีมไปให้ถึงฝั่งฝัน แน่นอนว่าตัวเขาเองย่อมรู้ดีว่าบทสรุปของมันไม่ว่าใครจะได้รับชัยชนะ ความเจ็บปวดคือสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญหน้า
“บราซิล ดวล สเปน” กับ 90 นาทีที่ยากที่สุดของดานี่ อัลเวส..