4 สิงหาคม 2564
สเปน กลายเป็นทีมสุดท้ายที่เขยิบก้นตามบราซิลเข้าสู่รอบชิงฯในฟุตบอลโอลิมปิกของทีมชาย เป็นไปตามที่กูรูหลายสำนักรวมไปถึงบรรดาเซียนต่างๆได้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้าก่อนที่แมตช์กับเจ้าภาพจะเริ่มขึ้น เช่นเดียวกันทีมกระทิงดุก็กลายเป็นผู้ที่ดับฝันและปฎิเสธการขีดเขียนหน้าประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ทีมญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน (ประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยการคว้าเหรียญทองครั้งแรกในโอลิมปิกของญี่ปุ่น)
ก่อนที่ทัวร์นาเม้นต์แห่งมวลมนุษยชาติจะเริ่มขึ้น ญี่ปุ่นถูกยกให้เป็นเต็งห้าด้วยความที่ว่าทั้งสื่อ, สำนักเสี่ยงโชคที่ถูกต้องตามกฎหมายและกูรูมากมายต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขากุมความได้เปรียบจากการเป็นเจ้าภาพ ในขณะที่ตัวผู้เล่นที่โค้ชฮาจิเมะ โมริยาสุ เลือกมาก็ล้วนมาจากลีกยุโรปแทบทั้งนั้น
ที่น่าแปลกใจเพิ่มเติมคือพอพวกเขาก้าวเท้าเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ได้สำเร็จ เรตใหม่ก็ออกมายกให้เป็นถึงเต็งสามในทันทีจนนักเสี่ยงโชคทั้งแบบขาจรและขาประจำต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันด้วยความมึนงงว่า “นี่ตูดูไม่ผิดใช่มั้ย..ญี่ปุ่นเนี่ยะนะเต็งสาม?”
ในตอนนั้นมีหลายคนบอกว่าเรตจ่ายขยับไวเหมือนอวยเจ้าภาพเกินไป เพราะมันไม่ควรจะข้ามหน้าข้ามตาแม้กระทั่งทีมอย่างเกาหลีใต้ที่ในรอบแบ่งกลุ่มเล่นยิงชาวบ้านไส้แตกมาแล้วถ้วนหน้า และแม้ว่าเส้นทางของทีมชาติญี่ปุ่นจะดูสดใสกว่าใครเพื่อนเพราะเจอนิวซีแลนด์ในรอบแปดทีมสุดท้ายแถมยังได้หลบบราซิลเต็งแชมป์ แต่มันก็ไม่ไช่งานที่ง่ายที่จะไปให้ถึงแชมป์
“ก็ถูก..แต่มันถูกแค่ครึ่งเดียว”
ถูกที่ญี่ปุ่นได้เล่นในบ้านทุกนัดและนั่นคือความได้เปรียบ ถูกที่นิวซีแลนด์ดูจะเป็นทีมที่ญี่ปุ่นน่าจะผ่านได้ไม่ยาก และก็ถูกอีกเช่นกันที่การไม่เจอบราซิล (ทั้งในรอบ 8 และ 4 ทีมสุดท้าย)คือเรื่องที่ชวนให้พวกเขาได้ฝัน
เพียงแต่ท่านอาจลืมสิ่งสำคัญ 1-2 เรื่อง นั่นคือญี่ปุ่นชุดนี้เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลแบบมีวินัยและเขี้ยวสุดๆ เพราะอย่างที่เราได้เห็นกันในผลงานในรอบที่ผ่านมาก่อนเจอสเปน พวกเขาคือทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดโดยเสียเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น
แถมถ้าจะพูดถึงกึ๋นของคนที่เป็นโค้ชก็ต้องยอมรับว่าโค้ชโมริยาสุเข้าใจในสถานการ์ณที่เกิดขึ้นและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีสำหรับทัวร์นาเม้นต์นี้ เพราะการเลือกใช้โควต้าผู้เล่นอายุเกินที่เทน้ำหนักไปที่ผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังอย่างฮิโรกิ ซากาอิ และ มายะ โยชิดะ เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าทั้งถูกต้องและเหมาะสมตามสภาวะการณ์
นี่ไม่ใช่เวทีระดับภูมิภาคหรือชิงแชมป์ระดับทวีปแบบคัดบอลโลกหรือเอเชียนคัพที่เกรดฟุตบอลของญี่ปุ่นดูจะขี่ชาวบ้านอยู่หลายช่วงตัวและคงลุ้นยิงประตูกันอย่างสนุกได้แทบจะทุกนัด หากแต่โอลิมปิกคือเวทีที่สเกลของมันใหญ่ระดับซุปเปอร์บิ๊กที่ทีมญี่ปุ่นเองต้องเจียมตนว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมเต็งและบรรดาคู่แข่งที่ต้องเผชิญหน้าต่างมีภาษีดีกว่าทีมตัวเอง ดังนั้นการแพ็คเกมรับให้แน่นบวกเล่นอย่างอดทนคงเป็นเวย์เดียวเท่านั้นที่จะพาพวกเขาไปสู่ฝั่งฝัน และนั่นคือที่มาของการตัดสินใจเรียกรุ่นพี่ตัวเก๋าถึงสองคนมาคุมเกมรับ
ตลอด 115 นาที (ก่อนที่พวกเขาจะเสียประตู) ที่สู้กับสเปนเห็นได้ชัดว่านักเตะญี่ปุ่นเล่นอย่างมีวินัยและใช้ความอดทนอย่างสุดๆ เพราะจากสถิติที่ปรากฎทีมชาติญี่ปุ่นเป็นรองทั้งเรื่องการครอบครองบอล, โอกาสการเข้าทำ, จำนวนลูกเตะมุมและลูกทุ่มชนิดที่ขาดแบบไม่เห็นไฟท้าย และผู้รักษาประตูอย่าง โคเซ ทานิ ดูจะงานชุกกว่าครั้งไหนๆ แต่สิ่งที่ปรากฎคือพวกเขายัง “ยันอยู่” และดูเหมือนว่าจะสร้างความกดดันทีมเต็งสองอย่างสเปนได้เหมือนกันจนใครหลายคนต้องคิดไปไกลถึงการสู้กันในช่วงการดวลจุดโทษเลยเสียด้วยซ้ำ
การเก็บไดเซน มาเอดะ เพื่อนร่วมทีมอุ้มไว้เป็นตัวทีเด็ด, ดร็อปคาโอรุ มิโตมะ วันเดอร์คิดจากฟรอนตาเล่ไม่มีชื่อแม้แต่ในม้านั่งสำรอง และไว้ใจให้ฮิโรกิ ซากาอิ และ มายะ โยชิดะ เล่นจนครบ 120 นาทีแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแผนของโค้ชโมริยาสุคือ “ต้องเหนียวไว้ก่อน ไม่ได้ก็ต้องไม่เสียเช่นกัน”
แต่ฟุตบอลมันคือกีฬาที่ต้องอาศัยความละเอียดและข้อผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงผลแพ้-ชนะ และนั่นก็คือที่มาของน้ำตาซามูไรหลัง 120 นาทีที่เกิดขึ้นที่ไซตามะนั่นเอง
ลูกยิงสุดสวยปั่นไซด์ของ มาร์โก อาเซนซิโอ นักเตะโควต้าอายุเกินตัวเก่งจากเรอัล มาดริดคือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในสนามเพียงครั้งเดียวเท่านั้นของญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นจากการยืนห่างและการตัดสินใจที่ช้าเกินไปเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นของสองตัวผู้เล่นที่อยู่ใกล้
ผมเชื่อว่าแม้ญี่ปุ่นจะแพ้สเปน อดเข้าชิงฯและหมดโอกาสในการสร้างประวัติศาสตร์ แต่ใครที่ได้ติดตามทีมซามูไรบูลจูเนียร์ชุดนี้ลงเล่นตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์คงต้องยอมรับและปรบมือให้เพราะพวกเขาสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและมันไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจเพราะมันเต็มที่แล้วจริงๆ
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมทีมอย่างญี่ปุ่นถึงเป็นขาประจำบอลโลก, ไม่แปลกใจเลยที่เรามักเห็นพวกเขาวนเวียนอยู่กับตำแหน่งเบอร์หนึ่งทวีปบนหน้าฟีฟ่าแรงกิ้ง และไม่แปลกใจเลยที่นักเตะญี่ปุ่นถูกส่งออกไปมากมายกระจายอยู่ในลีกชั้นนำทั่วทั้งยุโรป เพราะพวกเขาแสดงให้เห็นถึงมาตราฐานของทีมออกมาได้อย่างชัดเจน
เสียดายที่ไปไม่ถึงเป้าที่พวกเขาวางเอาไว้ แต่ก็ยังหวังให้พวกเขาได้เหรียญเป็นรางวัลปลอบใจตอบแทนให้แก่การทำงานอย่างหนักพร้อมทั้งเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจของคนเอเชียในทัวร์นาเม้นต์แห่งมวลมนุษยชาติ
แมตช์ส่งท้ายระหว่างซามูไรบูลกับจังโก้ ใครไม่เชียร์ไม่เป็นไรแต่ผมเชียร์ญี่ปุ่นสุดใจ!
TAG ที่เกี่ยวข้อง