โตเกียวโอลิมปิกผ่านมุมมองนักเศรษฐศาสตร์กับแพทย์และสาธารณสุข

โตเกียวโอลิมปิกผ่านมุมมองนักเศรษฐศาสตร์กับแพทย์และสาธารณสุข

#Olympic On Pitch by akinson149

เร็วๆนี้เององค์การอนามัยโลกหรือที่เรามักคุ้นเคยกันในชื่อย่อว่า “WHO” ซึ่งในอีกบริบทนึงก็ควงตำแหน่งที่ปรึกษาของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลหรือไอโอซี (IOC) ด้วยเช่นกันพึ่งจะออกมาเตือนว่าโตเกียวโอลิมปิกมีความเสี่ยงก่อให้เกิดการแพร่ระบาดและเคสติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจนำไปสู่การควบคุมและจัดการที่ยาก  

ในขณะที่เมื่อวานก็มีรายงานข่าวการติดเชื้อของนักกีฬาจากยูกันดาและเซอร์เบียที่พึ่งเดินทางมาถึงไม่นาน และกับข่าวการถอนตัวของเหล่าบรรดาซุปเปอร์สตาร์และนักกีฬาตัวความหวังของชาติต่างๆจากหลายชนิดกีฬาที่มีออกมาให้เห็นตามหน้าสื่อและโลกโซเชี่ยลแบบที่มีให้เห็นไม่เว้นแต่ละวันไม่ต่างจากไวรัลหรืออุปทานหมู่สื่อให้เห็นถึง “โอลิมปิกที่ยังน่าเป็นห่วง” อย่างชัดเจน

ท่ามกลางการประชาสัมพันธ์ทั้งในรูปแบบของโฆษณาและพีอาร์มากมายที่ถูกโหมใส่ในสื่อออนไลน์และโซเชี่ยลมากขึ้นเรื่อยๆหลังมหกรรมที่ว่ากำลังเดินเข้าสู่โหมด “การนับถอยหลัง” ข่าวของการเดินประท้วงและคำขอร้องของบรรดาประชาชน, หน่วยแพทย์และฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่นเองก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้นด้วยเช่นกัน

กลุ่มผู้ประท้วงและประชาชนฝ่ายที่ไม่อยากให้จัดได้ออกมาเดินตามท้องถนนในย่านสำคัญๆในหลายๆเมือง ในขณะที่แม้แต่เรื่องใกล้ตัวอย่างการใช้มาสคอตและตัวการ์ตูนขวัญใจมหาชนที่ฝ่ายจัดพยายามนำมาใช้ในการประชาสัมพันธ์ก็ถูกมองว่าเป็นการย้ำยีสิ่งที่พวกเขารัก เพราะพวกเขาเห็นว่าตัวการ์ตูนเหล่านั้นไม่ควรนำมาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเชิญชวนผู้คนเข้าร่วมอีเว้นท์แห่งหายนะ

อีกด้านกับฝ่ายแนวหน้าอย่างหน่วยแพทย์ก็มีรายงานว่าหัวหน้าสหภาพแพทย์ของญี่ปุ่นอย่างนายนาโอโตะ อุเอยามะ ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกโอลิมปิกด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของพลเมืองญี่ปุ่นทุกคน พร้อมทั้งให้ข้อคิดแบบกึ่งเตือนสติว่า “โตเกียวโอลิมปิกหนนี้อาจเป็นตราบาปที่ทำให้คนญี่ปุ่นถูกประณามไปอีกร้อยปีว่ามันคือการกระทำที่โง่เขลาของมนุษย์”

“เมื่อมีคนเห็นด้วยก็ย่อมมีคนเห็นต่าง”

อย่างไรก็ตามนายทาคาฮิเดะ คิยูจิ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและเป็นอาจาร์ยประจำสำนักวิจัยโนมูระ (Nomura Research Institute) ได้ออกมาพูดว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะทำกำไรได้มากถึง 1.72 ล้านล้านเย็นโดยประมาณ ถึงแม้จะมีมาตราการควบคุมจากสาธารณสุขอย่างเข้มงวดและการจำกัดผู้ชม แต่หากโตเกียวโอลิมปิกมีอันต้องถูกยกเลิกค่าความเสียหายจะสูงถึง 4.5 - 6.3 ล้านล้านเย็นหรือคิดเป็นตัวเลขก็ราวๆ 1.3 - 1.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งตัวเลขแบบนี้ไม่ต่างจากระเบิดนิวเคลียร์ที่สร้างความเสียหายแบบ “มหภาค” ในฐานเศรษฐกิจและจะนำเศรษฐกิจญี่ปุ่นดำดิ่งสู่หายนะอย่างที่ใครหลายคนอาจคิดไม่ถึง

ภาพของความอดอยาก-ยากไร้, ปัญหาอาชญากรรม, การปิดตัวลงของบริษัทหลายแห่ง, การปล้นจี้, การฆาตกรรม, การฆ่าตัวตาย และรวมไปถึงความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หากว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นต้องเดินไปถึงจุดนั้นขึ้นมาจริงๆ

“เอาล่ะซิ..”

ผมพึ่งจะเขียนถึงความเป็นไปและสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในโอลิมปิกฉบับนิวนอร์มอลในบทความเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนว่าโอลิมปิกหนนี้อาจมีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไปจากธรรมเนียมเดิมที่เคยปฎิบัติ และเผลอๆจะมีประเด็นความแตกแยกทางความคิดขึ้นมามากมายได้ทั้งก่อน-ระหว่างและหลังการแข่งขันตามมาด้วยเป็นโบนัสต่อท้าย

เพราะจากพารากราฟข้างต้นก็พอจะอนุมานได้แล้วว่าแม้การแข่งขันยังไม่เป่านกหวีดออกสตาร์ทมันก็เริ่มมีบรรยากาศของการแตกแยกทางความคิดออกมาให้เห็นกันบ้างแล้ว (จากกลุ่มของนักเศรษฐศาสตร์,หมอ,เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแม้แต่ประชาชนด้วยกันเอง)  

เพียงแต่ในมุมมองของผมนะ..บางทีเหตุผลข้อใหญ่เพียงข้อเดียวและอาจถือเป็นข้อที่สำคัญสุดที่ทำให้โตเกียวโอลิมปิกยังเดินหน้าต่อไปอาจไม่ใช่เรื่องของสตุ้งสตางค์หรือเป็นความดันทุรังของฝ่ายจัดการแข่งขันและรัฐบาลของพวกเขาเอง หากแต่นี่อาจเป็นความท้าทายในรอบศตวรรษที่หากมหกรรมการแข่งขันที่มีสเกลใหญ่ขนาดนี้สามารถสำเร็จขึ้นได้ นี่อาจถือเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะต่อสงครามโรคระบาด และอาจถือเป็นปรากฎการ์ณแห่งการสร้างความสามัคคีกันของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก

ทุกคนมีเหตุผลที่รับฟังได้ทั้งนั้นแหละ และเดิมพันหนนี้แม้มันจะสูงมาก แต่ผลลัพธ์หากสำเร็จก็สูงเหมือนกัน

เอาใจช่วยทุกฝ่ายและขอให้สำเร็จดั่งที่ตั้งใจหวังไว้ เพราะครั้งนี้จะถือเป็นบททดสอบที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ที่โอลิมปิกมีมาเพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้การรับมือกับสถานการ์ณที่ยากลำบากภายใต้เงื่อนไขที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้แบบนี้ไว้สำหรับอนาคตต่อไป..