5 กุมภาพันธ์ 2564
ในทุกยุคของวงการกีฬาแต่ละชนิดจะมีนักกีฬาอยู่อย่างน้อยคนหนึ่งที่ก้าวขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์ ครองความยิ่งใหญ่ และได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานหลังจากเลิกเล่นไปแล้ว เหมือนอย่างในวงการฟุตบอลที่เคยมียุคเปเล่, ยุคมาราโดน่า เรื่อยมาจนถึงยุคเมสซี่-โรนัลโด้ ที่กำลังจะส่งไม้ต่อให้รุ่นต่อไป
สำหรับอเมริกันฟุตบอล ควอเตอร์แบ็กจัดเป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดในเกมรุก ยิ่งมีจอมทัพมือดียิ่งเพิ่มโอกาสที่ทีมจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ ดังนั้นชื่อของผู้เล่นที่ก้าวขึ้นยิ่งใหญ่ในแต่ละยุคจึงมักจะมาจากตำแหน่งนี้ทั้งสิ้น
ไล่ตั้งแต่อดีตชื่อของ เทอร์รี่ แบรดชอว์, โจ มอนทาน่า, ทรอย เอ็กแมน, จอห์น เอลเวย์ เรื่อยมาจนถึง ทอม เบรดี้ ล้วนแต่เป็นตำนานที่ขึ้นครองยุคสมัยในช่วงยิ่งใหญ่ของตัวเอง ยกเว้นแต่เพียงคนหลังสุดที่ยืดระยะยาวนานถึง 20 ปี
แต่ตอนนี้ ตำนานบทใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น และรอวันขึ้นมาแทนที่พร้อมกับเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ลงไปทดแทน
แพทริก มาโฮมส์ คือชื่อของควอเตอร์แบ็กคนนั้น แล้วทำไมเราถึงมั่นใจว่าเขาจะเป็นตำนานคนต่อไป ติดตามได้ที่นี่
เลือดข้น คนไม่จาง
แพทริก มาโฮมส์ เกิดมาพร้อมกับดีเอ็นเอนักกีฬาในสายเลือด โดยเป็นลูกชายคนโตของ แพทริก มาโฮมส์ ซีเนียร์ อดีตพิชเชอร์ของทีมระดับเมเจอร์ลีกที่ลงเล่นยาวนาน 11 ปี
ด้วยความเป็นลูกชายของนักกีฬาอาชีพ ประกอบกับความเป็นเด็กเท็กซัสจึงไม่แปลกอะไรที่มาโฮมส์จะชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก แต่ที่น่าสนใจคือเขาได้แขนที่ทรงพลังและทักษะที่ยอดเยี่ยมมาจากยีนของพ่อด้วยเช่นกัน
มาโฮมส์สมัยเรียนไฮสคูลเล่นกีฬาหลายประเภท ในอเมริกันฟุตบอลเขาเล่นเป็นควอเตอร์แบ็กที่ทำสถิติขว้าง 4,619 หลา, 50 ทัชดาวน์, วิ่งทำระยะรวม 948 หลา กับ 15 ทัชดาวน์ในปีสุดท้าย ส่วนเบสบอลเขาเล่นเป็นพิชเชอร์ที่เคยทำสถิติโนฮิต 16 สไตร์คเอาต์ในเกมเดียว ขณะที่บาสเกตบอลก็เป็นผู้เล่นระดับค่าเฉลี่ย 19.9 แต้มต่อเกม และเคยชู้ตไกล 50 ฟุตลงห่วงในวินาทีสุดท้ายมาแล้ว
ไม่ว่าเขาจะเลือกเล่นกีฬาชนิดไหนอย่างจริงจัง ก็ดูเหมือนว่าอนาคตที่สดใสเปิดรอเขาอยู่แล้ว
การตัดสินใจครั้งสำคัญ
จากกีฬาทั้ง 3 ชนิด มาโฮมส์ฉายแสงกับ อเมริกันฟุตบอลและเบสบอลมากที่สุด ทำให้เขาได้เข้าเรียนต่อที่ ม.เท็กซัส เทค ซึ่งเจ้าตัวใช้เวลา 2 จาก 3 ปี เล่นทั้งอเมริกันฟุตบอล และเบสบอลก่อนจะเลือกไม่เรียนต่อในปีสุดท้ายเพื่อเข้าพิธีดราฟต์ของ เอ็นเอฟแอล ในปี 2017
ความจริงแล้วในปี 2014 หลังจากที่มาโฮมส์เลือกเข้าเรียนที่ม.เท็กซัส เขาได้รับการคาดหมายว่าจะถูกเลือกในพิธีดราฟต์ของเมเจอร์ลีกเบสบอลหรือเอ็มแอลบี และเป็นทีม ดีทรอยต์ ไทเกอร์ส ที่ใช้สิทธิ์เลือกเขาในรอบที่ 37 แต่ไม่มีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้นเพราะหัวใจของมาโฮมส์มีจุดหมายแล้ว นั่นก็คือ เอ็นเอฟแอล
อย่างไรก็ตามในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มาโฮมส์ เคยคิดจะเอาดีแค่เบสบอลเช่นกัน เนื่องจากกังวลกับปัญหาบาดเจ็บในอเมริกันฟุตบอลที่อาจทำให้อาชีพไปไม่ไกลเท่าที่ควร แต่แรนดี้แม่ของเขากล่อมจนเจ้าตัวยอมสู้ต่อไป แต่มันคงไม่เกิดขึ้นหากเขาไม่ได้รักกีฬาชนิดนี้เป็นทุนเดิม
การเลือกเอ็นเอฟแอล แทนที่จะเป็นเอ็มแอลบีตามอย่างคุณพ่อนั้น มาโฮมส์ ซีเนียร์ เปิดเผยว่า เขาคาดหวังว่าลูกชายจะเลือกเบสบอลแต่ก็ไม่แปลกใจที่มันไม่เป็นไปตามนั้นเพราะเจ้าตัวตกหลุมอเมริกันฟุตบอลไปแล้ว
"ลูกของเขาเล่นเบสบอลมานานเกินไปจนรู้ทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ผิดกับอเมริกันฟุตบอลที่ยังมีอีกหลายอย่างให้เรียนรู้ นั่นคือสาเหตุที่เจ้าตัวตกหลุมรัก"
ชีฟส์กับการเทรดสิทธิ์ดราฟต์เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ทีม
ด้วยสถิติขว้างทำระยะรวม 11,252 หลา, 93 ทัชดาวน์ เสีย 29 อินเตอร์เซ็ปต์จากการลงเล่น 32 เกม สมัยมหาวิทยาลัย จึงไม่แปลกอะไรที่มาโฮมส์จะได้รับการจับตามองในการดราฟต์ปี 2017 และชื่อเสียงรวมทั้งความสามารถของเขายิ่งขึ้นชื่อลือชามากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านการเดินทางไปโชว์ฝีมือและรับการสัมภาษณ์จากแต่ละทีมในเอ็นเอฟแอล โดยเอเยนต์ของเจ้าตัวเปิดเผยว่า มาโฮมส์ต้องตะลอนไปทั่วประเทศเนื่องจากได้รับการนัดหมายถึง 19 ทีมเลยทีเดียว
แต่มีอยู่หนึ่งทีมที่จับตามองเด็กหนุ่มจากเท็กซัสอย่างจริงจัง นั่นก็คือ แคนซัส ซีตี้ ชีฟส์ ที่มี แอนดี้ รีด เป็นเฮดโค้ช ซึ่งต้องขอบคุณ เบรตต์ วีช ผู้จัดการทั่วไปที่พยายามเป่าหูรีดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่ามาโฮมส์คือผู้เล่นที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น
"ตอนแรกผมรู้สึกว่าวีชพูดจาเกินจริง เพราะเขาเคยเจอผู้เล่นมาไม่กี่คนเท่านั้น แต่เขาก็พยายามเอาเทปการเล่นของมาโฮมส์มาวางบนโต๊ะผมอยู่เรื่อย และเมื่อได้เปิดดูแล้วผมก็คิดเหมือนเขาเช่นกัน"
เมื่อผ่านการทดสอบฝีมือและสัมภาษณ์ ชีฟส์และรีดยิ่งรู้สึกว่ามาโฮมส์นี่แหละที่จะเป็นผู้นำทีมในอนาคตต่อจาก อเล็กซ์ สมิธ ที่เข้าสู่ช่วงปลายอาชีพแล้ว แต่ปัญหาคือพวกเขาได้สิทธิ์ดราฟต์รอบแรกอันดับที่ 27 ดังนั้นหากไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง คงโดนทีมอื่นตัดหน้าคว้ามาโฮมส์ไปอย่างแน่นอน
เพราะเหตุนั้นชีฟส์จึงนำสิทธิ์ดราฟต์รอบแรก และรอบที่สาม รวมทั้งสิทธิ์ดราฟต์รอบแรกปี 2018 ไปเทรดกับสิทธิ์ดราฟต์อันดับ 10 ของบัฟฟาโล่ บิลล์ส ส่งผลให้ได้ มาโฮมส์ สมใจ
1 ปีแห่งการเรียนรู้
ชีฟส์ ตกลงเซ็นสัญญากับมาโฮมส์แบบการันตีรายได้ 4 ปี 16.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บวกกับค่าเซ็นสัญญาอีก 10.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลแรก มาโฮมส์ ต้องนั่งเป็นตัวสำรองต่อจาก อเล็กซ์ สมิธ จอมทัพระดับโปรโบวล์ ซึ่งสำหรับรุกกี้บางคนอาจจะร้อนใจอยากพิสูจน์ฝีมือกับของจริงให้เร็วที่สุด แต่กับมาโฮมส์เขาใช้โอกาสนี้ศึกษาการเล่นจากจอมทัพรุ่นพี่อย่างเต็มที่
และในสัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาล 2017 มาโฮมส์ก็ได้ทำหน้าที่เป็นตัวจริง เนื่องจากชีฟส์คว้าสิทธิ์เพลย์ออฟเรียบร้อยแล้ว และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อช่วยนำทีมชนะ เดนเวอร์ บรองโก้ส์ 27-24 คะแนน ขว้างสำเร็จ 22 จาก 35 ครั้ง ทำระยะรวม 284 หลา เสีย 1 อินเตอร์เซ็ปต์
ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เกมเดียว แต่ แอนดี้ รีด ก็รู้แล้วว่า มาโฮมส์ พร้อมแล้วสำหรับก้าวต่อไปในอาชีพ
จอมทัพร้อยกระบวนท่า สู่รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าแห่งปี
ฤดูกาล 2018 ชีฟส์ประกาศเทรด อเล็กซ์ สมิธ ไปให้ วอชิงตัน เร้ดสกินส์ นั่นหมายถึงการยกระดับให้ มาโฮมส์ ขึ้นมานำทีมอย่างเต็มตัว แต่ในช่วงเทรนนิ่งแคมป์ หลายฝ่ายเริ่มกังวลกับปัญหาโดนอินเตอร์เซ็ปต์ของมาโฮมส์ ยกเว้นแต่ตัวเขาเองที่รู้ดีว่า ปัญหามีเพื่อแก้ไข
พอเริ่มฤดูกาลปกติ เรื่องโดนอินเตอร์เซ็ปต์ไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคยอีกต่อไป ใน 3 เกมแรก มาโฮมส์ขว้างไปเกือบ 900 หลา 13 ทัชดาวน์ ไม่เสียอินเตอร์เซ็ปต์แม้แต่ครั้งเดียว พาทีมชนะรวด และแพ้แค่เกมเดียวจาก 10 นัดแรก โดยที่มาโฮมส์ปาไปถึง 31 ทัชดาวน์ เสียอินเตอร์เซ็ปต์เพียง 6 ครั้งเท่านั้น
และในฤดูกาลที่ได้เล่นแบบเต็ม ๆ นี้เอง มาโฮมส์ ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนกีฬาคนชนคนจากลูกเล่นที่หลากหลายแต่ทรงประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการม้วนหลบทีมรับก่อนขว้างลูกพุ่งเป็นจรวดระยะ 20 หลาเขาเอนด์โซน, ใช้มือซ้ายขว้างเข้าเป้า, ขว้างให้เพื่อนแบบไม่มอง (โนลุคพาส), ขว้างโดยเหวี่ยงแขนจากด้านข้าง (ไซด์อาร์ม) หรือการบอมบ์ยาวหลายต่อหลายครั้ง
ลูกพลิกแพลงเหล่านี้ มาโฮมส์ ยืนยันว่าไม่ใช่ลูกฟลุก เพราะเขาคิดอยู่แล้วว่าสักวันต้องได้ใช้งาน จึงซ้อมขว้างทุกรูปแบบ ซึ่ง แอนดี้ รีด ก็ยืนยันอีกเสียงว่า มาโฮมส์ทำแบบนี้ได้ตั้งแต่สมัยเล่นระดับมหาวิทยาลัย เขาทำอยู่เสมอในตอนซ้อม แต่ที่น่าสนใจคือเขานำมาใช้ในการแข่งขันจริงได้เแบบธรรมชาติ
อาวุธเด็ดที่สำคัญอีกอย่างของมาโฮมส์คือวิสัยทัศน์ เขามีความทรงจำแบบภาพถ่าย และรับรู้ทุกพื้นที่ของสนามว่าใครอยู่ตรงไหนอย่างไร ทำให้เวลาขว้างตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม
ชีฟส์จบฤดูกาลนั้นด้วยสถิติชนะ 12 แพ้ 4 เป็นอันดับ 1 ของสาย เอเอฟซี ขณะที่ มาโฮมส์ ขว้างทำระยะรวมมากกว่า 5,000 หลา กับ 50 ทัชดาวน์ เสีย 12 อินเตอร์เซ็ปต์ ทำให้ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าหรือเอ็มวีพีประจำฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม มาโฮมส์ พาทีมไปได้ถึงแค่รอบชิงแชมป์สาย หลังจากพ่าย นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ ที่มี ทอม เบรดี้ นำทัพ ซึ่งก้าวไปเป็นแชมป์ในภายหลัง
สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ
หลังจบเกมรอบชิงแชมป์สาย เอเอฟซี มาโฮมส์เปิดเผยว่าเขาได้รับคำแนะนำที่ดีมาก ๆ จาก เบรดี้ นั่นคือให้พัฒนาตัวเองต่อไป และจงเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมาโฮมส์จำคำนั้นเอาไว้ขึ้นใจ
ในฤดูกาลต่อมา ถึงแม้ว่าผลงานของมาโฮมส์จะไม่ได้เปรี้ยงปร้างเท่ากับฤดูกาลก่อน แต่สิ่งที่อยู่ในหัวของเขาไม่ใช่เรื่องผลงานส่วนตัว แต่เป็นภาพรวมที่ใหญ่กว่านั้น
ชีฟส์เข้ารอบเพลย์ออฟตามคาด ด้วยสถิติชนะ 12 แพ้ 4 เป็นอันดับ 2 ของสายเอเอฟซี ซึ่งเมื่อถึงช่วงโพสต์ซีซันมาโฮมส์ก็ปล่อยของออกมาอย่างเต็มที่
ใน 2 เกมแรกของรอบเพลย์ออฟ มาโฮมส์ช่วยชีฟส์คัมแบ็กจากการตามหลังด้วยเลข 2 หลัก ทั้ง 2 เกม ด้วยการเล่นที่ใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบ คือขว้างสำเร็จ 65% ทำระยะรวม 615 หลา 8 ทัชดาวน์ ไม่เสียอินเตอร์เซ็ปต์ ผ่านเข้าไปชิงซูเปอร์โบวล์กับ ซาน ฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์ส
มาโฮมส์ออกตัวไม่ค่อยดีนักในการเล่นซูเปอร์โบวล์หนแรก ขณะที่ชีฟส์อยู่ในสถานการณ์หลังพิงฝาขณะที่เหลือเวลาการแข่งเพียง 7:13 นาที ทีมได้ครองลูกในดาวน์ที่ 3 ต้องการระยะถึง 15 หลา แต่ก็เป็นจอมทัพหมายเลข 15 ที่จุดประกายความหวังให้ทีมได้อย่างเหลือเชื่อ
มาโฮมส์บอมบ์ไกลระยะ 44 หลาให้ ไทรีก ฮิลล์ ปีกจรวด เปลี่ยนเป็นดาวน์ที่ 1 ซึ่งกลายเป็นเพลย์พลิกชะตาการแข่งขัน เพราะหลังจากนั้น มาโฮมส์ขว้าง 2 ทัชดาวน์ บวกกับการวิ่งเข้าเอนด์โซนจากระยะ 38 หลาของ เดเมียน วิลเลี่ยมส์ ทำให้ชีฟส์กลับมาเป็นฝ่ายชนะ 31-20 อย่างยิ่งใหญ่
ด้วยผลงานพาทีมกลับมาคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์หนแรกในรอบ 50 ปี มาโฮมส์ได้รับเลือกเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าในนัดชิงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง พร้อมกับเป็นการประกาศศักดาว่า เขานี่แหละคือผู้ที่จะก้าวขึ้นมาครองยุคใหม่ของเอ็นเอฟแอล
ตำนานที่ยากจะก้าวข้าม
ในฤดูกาล 2020 ชีฟส์มั่นใจมากขึ้นว่า มาโฮมส์นี่แหละคือคนที่จะเป็นตำนานของทีม พวกเขาตัดสินใจทุ่มสัญญามหาศาล ระยะเวลา 10 ปี มูลค่า 477 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมโบนัสเพิ่มเติมอีก 26 ล้านดอลลาร์สสหรัฐฯ เป็นสัญญามูลค่ามหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาอเมริกัน เกมส์
มาโฮมส์ ตอบแทนความเชื่อมั่นนั้นด้วยการขว้างทำระยะรวม 4,740 หลา, 38 ทัชดาวนด์ เสีย 6 อินเตอร์เซ็ปต์ พาทีมทำสถิติดีที่สุดในลีก ได้สิทธิ์เป็นเจ้าบ้านในรอบเพลย์ออฟทั้ง 2 เกม
ถึงแม้มาโฮมส์จะเจอปัญหาคอนคัสชั่นตั้งแต่เกมแรกในรอบเพลย์ออฟที่เจอ คลีฟแลนด์ บราวน์ส แต่ชีฟส์ก็ยังผ่านเข้าถึงรอบชิงแชมป์สาย ซึ่งมาโฮมส์ผ่านการทดสอบกลับมาลงแข่งได้อีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะขว้างทำระยะ 325 หลา 3 ทัชดาวน์พาทีมเอาชนะ บัฟฟาโล่ บิลล์ส 38-24 เข้ารอบชิงซูเปอร์โบวล์เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
อย่างไรก็ตามในนัดชิงฯ มาโฮมส์ ต้องเจอกับควอเตอร์แบ็กระดับตำนานอย่าง ทอม เบรดี้ ซึ่งเป็นจอมทัพเพียงคนเดียวที่เอาชนะเขาได้ในช่วงโพสต์ซีซั่นสมัยเจ้าตัวเล่นให้ เพเทรียตส์
ถึงแม้ชีฟส์จะเป็นต่อในสายตาสื่อ และมาโฮมส์กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มแรง แต่เมื่อเจอกับเบรดี้และแท็กติกที่สุดยอดของ บรูซ เอเรียนส์ ทำให้ชีฟส์แตกพ่ายแบบยับเยิน 9-31 และส่งผลให้ มาโฮมส์ อดทำสถิติทาบตำนานอย่าง บาร์ท สตาร์ร, บ๊อบ กรีส, เทอร์รี่ แบรดชอว์, โจ มอนทาน่า, ทรอย เอ็กแมน, จอห์น เอลเวย์ และทอม เบรดี้ ที่พาทีมป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ
แต่ด้วยวัยเพียง 25 ปี บวกกับฝีมือ, องค์ประกอบ และโค้ชที่ยอดเยี่ยม อีกไม่นานเกินรอ มาโฮมส์ คงได้ลุ้นทำสถิตินี้อีกครั้ง
TAG ที่เกี่ยวข้อง