30 ตุลาคม 2563
ในวงสนทนา เมื่อมีหัวข้อที่ว่าด้วย "นักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล" แน่นอนว่าชื่อของ ดีเอโก้ มาราโดน่า, ลิโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เปเล่ ย่อมถูกยกมาถกเถียงกันว่าใครคือเบอร์หนึ่ง
เรื่องนี้ไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างสมบูรณ์ เพราะแต่ละคนมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ทั้งต่างกรรม ต่างวาระ ต่างช่วงเวลา หรือแม้แต่ โรนัลโด้ กับ เมสซี่ ที่เกิดในยุคเดียวกัน ก็ยังยากที่จะยกให้ใครเหนือกว่า เพราะประสบความสำเร็จใกล้เคียงกัน ในองค์ประกอบที่ต่างกัน
แต่ถ้าถามว่า 4 คนนี้ ใครมีคาแร็คเตอร์จัดจ้าน และชีวิตมีสีสันมากที่สุด คำตอบเดียวก็คือ มาราโดน่า
ตำนานชาวอาร์เจนไตน์ไม่เคยใช้ชีวิตครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาไปสุดซอยเสมอไม่ว่าด้านดีหรือร้าย
แล้วชีวิตที่ไม่มีสีเทาของเขาเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่นี่
ต้นทางที่ยากลำบาก
มาราโดน่า เกิดที่ วิลล่า ฟิออริโต้ จังหวัดหนึ่งของกรุงบูเอโนส ไอเรส โดยเป็นลูกคนที่ 5 จากทั้งหมด 8 คนของ ดอน ดีเอโก้ และ ดัลม่า ซัลวาดอร่า ฟรังโก้ ครอบครัวของเขาจัดเป็นหนึ่งในครอบครัวที่ยากจนที่สุดในเมือง ด้วยความที่มีสมาชิกจำนวนมาก ส่งผลให้ ดอน ดิเอโก้ ผู้เป็นพ่อ ต้องทำงานหนักหลายอย่างเพื่อหาเลี้ยง ลูกชาย 3 คน, ลูกสาวอีก 5 คน และภรรยาที่เป็นแม่บ้านเต็มตัว
มาราโดน่าเล่าว่า ตอนเด็ก แม่ของเขามักจะบอกว่าตัวเองปวดท้องอยู่เสมอเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ซึ่งความจริงแล้วเธอปกติดี แต่เลือกจะนำมาเป็นข้ออ้างไม่ทานข้าว เพื่อให้ลูก ๆ ได้อิ่มท้อง
แต่ความยากจนก็ไม่สามารถขัดขวางความสำเร็จของได้ เมื่อหนูน้อยดีเอโก้ได้ลูกฟุตบอลเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 3 ขวบจากญาติ เขาก็ตกหลุมรักมันทันที และพามันติดตัวไปด้วยจนเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย วันหนึ่งในวัย 8 ขวบมาราโดน่าลงเล่นให้กับสโมสรละแวกบ้าน และทำงานเข้าตาแมวมองของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ ทำให้ถูกดึงไปร่วมทีม ลอส เซโบลลิตาส ทีมระดับเยาวชนของสโมสร ซึ่งเจ้าตัวช่วยให้ทีมคว้าชัยต่อเนื่องยาวนานเกิน 100 นัด
การเลี้ยงบอลที่ยอดเยี่ยม, การจ่ายบอลที่เฉียบขาด และเซนส์บอลที่เกินบรรยายทำให้มาราโดน่าไต่อันดับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ ตั้งแต่อายุ 15 ปี และกลายเป็นแสงแห่งความหวังของชาวอาร์เจนไตน์ในเวลาต่อมา แฟนบอลเชียร์ให้เขาติดชาติทีมไปลุยฟุตบอลโลกปี 1978 แต่ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ กุนซือทีมฟ้าขาว กลัวว่าเจ้าตัวจะแบกรับความกดดันมากเกินไป จึงตัดชื่อออกจากทีม ขณะที่อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ
ความสำเร็จระดับสโมสร, ฟุตบอลโลกหนแรก และการเข้าสู่ด้านมืดที่บาร์เซโลน่า
หลังจากอยู่กับ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ ได้ 5 ปี ทำไป 116 ประตู จากการลงเล่น 166 นัด มาราโดน่า ก็ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม โบคา จูเนียร์ สโมสรขวัญใจในวัยเด็ก ซึ่งแม้จะอยู่กับทีมเพียงแค่ฤดูกาลเดียว แต่มาราโดน่าก็ยังช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ
หลังจบฤดูกาลนั้น มาราโดน่า ติดทัพฟ้า-ขาว ไปลุยฟุตบอลโลกหนแรกในชีวิต แม้จะไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก ด้วยปัญหาความขัดแย้งภายในทีมและการโดนหมายหัวจากคู่แข่งจนถูกทำฟาวล์ในทุกโอกาส ส่งผลให้มาราโดน่าไม่สามารถฉายแสงได้อย่างเต็มที่ อาร์เจนติน่าไปได้ไกลที่สุดแค่รอบแบ่งกลุ่มรอบ 2 หลังจากแพ้ทั้งบราซิลและอิตาลี
ความล้มเหลวในฟุตบอลโลกไม่ได้ฉุดรั้งมาราโดน่าจากการข้ามฝั่งมาเล่นในยุโรป เขาย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่าด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก (7.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่ 2 ปีที่สเปนไม่ใช่เรื่องราวที่สวยงามในอาชีพนัก นอกจากรายงานข่าวเรื่องที่เขาเริ่มใช้โคเคนแล้ว มาราโดน่ายังเจอกับอาการป่วยหรืออาการบาดเจ็บเล่นงานจนได้ลงสนามเพียงครึ่งเดียว ที่แย่ที่สุดคืออาการข้อเท้าหักจากการเข้าสกัดที่รุนแรงของ อันโดนี่ กอยโคเชีย กองหลัง แอธเลติก บิลเบา ในช่วงต้นฤดูกาล 1983-84 ซึ่งปลายฤดูกาลนั้นทั้งคู่ได้เจอกันอีกครั้งในรอบชิงฯ โกปา เดล เรย์
กอยโคเชียยังเข้าสกัดด้วยความประสงค์ร้ายเหมือนเดิม ขณะที่มาราโดน่าพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แต่เมื่อโดนบ่อยครั้งเข้าบวกกับถ้อยคำเหยียดเชื้อชาติจากแฟนบอล รวมทั้งการโดนเยาะเย้ยหลังเป็นฝ่ายแพ้ มาราโดน่า ก็ฟิวส์ขาดก่อเหตุวิวาทกับนักเตะบิลเบาทุกคนที่ขวางหน้า และกลายเป็นเหตุชุลมุนวุ่นวายต่อหน้าพระพักตร์ของกษัตริย์ ฮวน คาร์ลอส แห่งสเปน รวมทั้งแฟนบอลนับแสน
การโดนแบน 5 เดือนจากเหตุดังกล่าว ทำให้มาราโดน่าหมดอนาคตทันที ฝ่ายบริหารของสโมสรไม่ต้องการเก็บเขาเอาไว้กับทีมต่อไป ขณะเดียวกันด้วยฐานะการเงินที่ย่ำแย่ บวกปัญหาการปรับตัวกับชีวิตในกาตาลุนย่าซึ่งเขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก ส่งผลให้มาราโดน่าตัดสินใจย้ายทีม
ชุบชีวิตที่นาโปลี, ฟุตบอลโลกปี 1986, "หัตถ์พระเจ้า" และลูกยิงแห่งศตวรรษ
มาราโดน่าย้ายไปนาโปลีด้วยค่าตัวสถิติโลกอีกครั้งที่จำนวน 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจของสโมสรและแฟนบอลตั้งแต่ฤดูกาลแรก ด้วยการยิงไปถึง 14 ประตู ก่อนช่วยให้ทีมจบอันดับ 3 ในฤดูกาลต่อมา คว้าตั๋วไปลุย ยูฟ่า คัพ ได้สำเร็จ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเขาก่อนลุยฟุตบอลโลกที่ เม็กซิโก
ที่เม็กซิโก มาราโดน่าถูกยกให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกอย่างเป็นเอกฉันท์ ไม่มีอะไรมาหยุดเขาได้ แม้จะเป็นการทำฟาวล์หรือการเข้าสกัดที่รุนแรง ในวัย 26 ปีเขารวดเร็วและแข็งแกร่งกว่าที่ใครจะตามทัน ขณะที่ผู้ตัดสินก็ปกป้องผู้เล่นมากกว่าเดิม ส่งผลให้มาราโดน่าเอาชนะได้ทุกคนและทุกทีม
เกมกับทีมชาติอังกฤษในรอบก่อนรองชนะเลิศ คือหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนนึกถึงเมื่อได้ยินชื่อของมาราโดน่า และเป็นเกมที่เขาถูกยกให้เป็นตำนาน เพราะแค่ 4 นาทีแรก เขาก็ทำให้ทีมขึ้นนำจากประตู "หัตถ์พระเจ้า" ที่เขาใช้มือช่วยทำประตู แต่สิ่งที่กลายเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์คือประตูต่อมา เมื่อมาราโดน่าได้บอลบริเวณกลางสนามในแดนของตัวเองและเลี้ยงผ่านนักเตะอังกฤษ 5 ราย รวมถึง ปีเตอร์ ชิลตัน ผู้รักษาประตู ก่อนจะยิงเข้าไปโดยใช้การสัมผัสบอลทั้งหมด 11 ครั้ง ในระยะ 60 เมตร และได้รับเลือกให้เป็นประตูแห่งศตวรรษ
ในรอบรองฯ มาราโดน่ายังไม่หยุดความร้อนแรง เขายิง 2 ประตูให้ทีมเอาชนะเบลเยียม พาอาร์เจนติน่าเข้ารอบชิงไปพบกับ เยอรมันตะวันตก ซึ่งแม้คู่แข่งจะรับมือด้วยการใช้ผู้เล่น 2 คนรุมเข้าประกบ แต่มาราโดน่าก็ยังมีบทบาทสำคัญด้วยการแอสซิสต์ให้ ฮอร์เก้ บูร์รูชากา ทำประตูชัยเอาชนะไป 3-2 คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ นอกจากนั้น มาราโดน่ายังได้รับเลือกให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์อีกด้วย
เมื่อได้แชมป์โลก มาราโดน่าก็กลับมาพานาโปลีคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกของสโมสรได้ทันที รวมทั้งแชมป์โคปปา อิตาเลีย สมัยที่ 3 ของทีม และหลังจากได้รองแชมป์ใน 2 ฤดูกาลต่อมา เขาก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในปี 1990
ร่วงหล่น
ถึงแม้จะประสบความสำเร็จมากมายในสนาม แต่การใช้ชีวิตส่วนตัวของเขากลับสวนทางไปเรื่อย ๆ ยิ่งเขาโด่งดังมากเท่าไหร่ แฟนบอลยิ่งอยากรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเท่านั้น มาราโดน่าเริ่มมองหาที่หลบภัยและดูเหมือนว่าเขาจะไปมีความสัมพันธ์กับแก๊งมาเฟียรายใหญ่ของอิตาลี
ส่วนเรื่องการใช้โคเคนก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง มาราโดน่าสภาพร่างกายเสื่อมถอยลงอย่างชัดเจน แม้เขาจะยังพาทีมเข้าถึงรอบชิงฯ ฟุตบอลโลก ปี 1990 ที่อิตาลีได้สำเร็จ แต่ก็ต้องถูกเยอรมันตะวันตกถอนแค้นคืนจากจุดโทษของ อันดรียส เบรห์เม่ในนาที 85
หลังจบฟุตบอลโลกครั้งนั้น ชีวิตของมาราโดน่าก็เหมือนเข้าสู่ช่วงมรสุม สื่อเริ่มเขียนถึงเรื่องชู้รักและลูกนอกสมรสของเขาที่เกิดตั้งแต่ปี 1986 นอกจากนั้นมาราโดน่ายังไม่ผ่านการตรวจสารเสพติดในร่างกายอีกด้วย สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจย้ายออกจากนาโปลีในปี 1991 พร้อมกับโทษแบน 15 เดือน จากการดื่มสุราและการใช้สารเสพติด
หลังพ้นโทษแบน ชีวิตนักฟุตบอลของมาราโดน่าก็ไม่ได้กลับขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกต่อไป เขาย้ายไปเล่นกับ เซบีย่า ได้ลงสนามเพียง 29 เกม แล้วตัดสินใจย้ายกลับอาร์เจนติน่าไปเล่นกับ นีเวลส์ โอลด์ บอย แต่ก็เล่นได้เพียง 5 เกมเท่านั้น ซึ่งในฟุตบอลโลกปี 1994 มาราโดน่ากลับไปติดทีมชาติอีกครั้ง และได้ลงเล่นไป 2 เกมก่อนที่จะถูกส่งตัวกลับเนื่องจากไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้น กลายเป็นภาพสุดท้ายของเขากับทีมชาติ หลังจากนั้น มาราโดนก็ย้ายกลับไปเล่นกับ โบคา จูเนียร์ส เป็นสโมสรสุดท้ายในอาชีพ และแขวนสตั๊ดในปี 1997
เส้นทางชีวิตหลังจากนั้น มาราโดน่าหันไปจับงานคุมทีม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้จะได้คุมทีมชาติอาร์เจนติน่าช่วงปี 2008-2010 และอีกหลายสโมสรก็ตาม ก่อนที่เจ้าตัวจะเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายที่บ้านพักในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2020 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ฟิเดล กาสโตร อดีตผู้นำคิวบา ผู้ที่มาราโดน่ายกให้เป็นพ่อคนที่สอง กับ จอร์จ เบสต์ ตำนานนักเตะที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจแต่วัยเด็กของเขาเสียชีวิต
"ชีวิตผมมีแค่ดำหรือขาว ไม่เคยเทาแม้แต่ครั้งเดียว"
มาราโดน่าใช้ชีวิตเหมือนดั่งประโยคที่เขาพูดไว้จริง ๆ
TAG ที่เกี่ยวข้อง