stadium

‘จอร์แดน’ หรือ ‘เลอบรอน’ ใครคือนักบาสที่เก่งที่สุดตลอดกาล

22 ตุลาคม 2563

ปีดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับฤดูกาล NBA ที่มีความยืดเยื้อและยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีก ทั้งเรื่องราวนอกสนามอย่างการระบาดของโรค COVID-19 รวมถึงการประท้วงเพื่อสิทธิเท่าเทียมทางเชื้อชาติอย่าง BLACK LIVES MATTER ทั้งคู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มรสชาติของแชมป์ NBA ของปีนี้

 

หลังจากที่ห่างหายจากการได้เป็นทีมที่เดินออกจากสนามพร้อมกับถ้วยแชมป์ NBA ไปเป็นเวลาสิบปี LA LAKERS นำโดยผู้เล่นทรงคุณค่าของรอบชิงชนะเลิศอย่าง เลอบรอน เจมส์ กับคู่หูร่างยักษ์ที่เพิ่งมาร่วมทีมเมื่อต้นฤดูกาลอย่าง แอนโทนี่ เดวิส สามารถคว้าแชมป์ครั้งที่ 17 ของแฟรนไชส์ได้สำเร็จ โดยนอกจาก เลอบรอน จะทำสถิติการเข้าชิงเป็นครั้งที่สิบของเขา เขายังสามารถคว้าแชมป์และได้รับรางวัล FINAL’S MVP กับทุกทีมที่เขาเคยลงเล่นให้

เมื่อแฟนๆบาสทั่วโลกได้เห็น เลอบรอน ลงเล่นในฤดูกาลที่ 17 แบบฟิตเต็มร้อย พร้อมกับคว้าแชมป์ครั้งที่สี่ของเขาได้สำเร็จ ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะมีความคิดในการหยิบนำ ‘LBJ’ ไปเปรียบเทียบกับนักบาสที่หลายคนว่ากันว่า ‘เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์’ หรือที่ต่างประเทศเขาเรียกกันว่า ‘THE GOAT’ อย่าง ไมเคิล จอร์แดน นั่นเอง

 

วันนี้ StadiumTH เลยขอทำหน้าที่เป็นกรรมการดีเบตครั้งสำคัญ เพื่อที่จะช่วยให้คุณหาคำตอบ ว่าระหว่าง ‘MJ’ ไมเคิล จอร์แดน กับ ‘LBJ’ เลอบรอน เจมส์ ใครคือนักบาสที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ?

 

เราจะทำการให้ข้อมูลในการดีเบตกันแบบสี่ควอเตอร์เหมือนการแข่งขัน NBA โดยแต่ละประเด็นที่จะนำมาวิเคราะห์เพื่อหาผู้ชนะจะมีปัจจัยอะไรบ้าง อ่านต่อได้เลยครับ

 

การคว้าแชมป์ NBA

 

หลายคนน่าจะเกิดคำถามในใจว่า ‘ทำไมการเข้าชิงเป็นเรื่องสำคัญ?’ ก็ต้องยอมรับว่ากีฬาบาสเรื่องแหวนที่ได้รับเมื่อคว้าแชมป์ เป็นสิ่งที่สำคัญและบ่งบอกถึงความสำเร็จของนักบาสคนใดคนหนึ่งได้ 

 

ประเด็นแรกที่เราจะมาลองวิเคราะห์กันดูก็คือเรื่องของ ‘NBA TITLES’ หรือ จำนวนแชมป์ที่สามารถคว้าได้ โดยในข้อนี้ คนที่ได้เปรียบก็คือ ‘MJ’ ซึ่งเป็นนักบาสไม่กี่คนในโลกที่สถิติเพอร์เฟ็กต์พอเข้าถึงรอบชิงฯ เพราะทั้งหกครั้งของเขา จบด้วยการเดินออกมาในฐานะแชมป์ทุกครั้ง

 

เมื่อลองหันมาดูในยุคปัจจุบัน ถึงแม้ว่า เลอบรอน เข้าไปชิงได้ถึงสิบครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่า จอร์แดน ถึงสี่ครั้งแต่การพ่ายรอบชิงทำให้หลายคนมองว่าในรอบชิงนั้น ความเป็นเพชฌฆาตของเขายังเป็นรอง ‘MJ’ อยู่ 

 

แต่ก็พูดยากครับ เพราะบางคนก็มองว่าการได้เข้าชิงมากกว่าอาจจะมองเป็นเรื่องของความสำเร็จได้มากกว่าจำนวนแชมป์ที่คว้าได้ ทว่าบางคนก็เห็นต่าง และบอกว่าจำนวนแชมป์ต่างหากที่มีความหมายมากที่สุด 

 

การทำแต้ม

 

เรื่องของการทำแต้มในบาสเกตบอลถือว่าไม่พูดไม่ได้ เพราะนอกจากการทำแต้มจะเป็นปัจจัยหลักในการทำให้ทีมชนะแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมิติและสีสันให้กับเกมการแข่งขันด้วย เพราะเชื่อเหลือเกินว่าแฟนๆที่เข้าไปดูขอบสนามหรือดูผ่านทางทีวีที่บ้าน ก็คงไม่ได้แค่อยากดูเกมที่น่าเบื่อ แต่อยากได้รับชมลีลาการชู้ตสามแต้มสวยๆ การ DUNK ข้ามหัวโหดๆ หรือแม้กระทั่งการ FADE AWAY เท่ๆ จากนักบาสในดวงใจของเขา ตามคลิปในโลกออนไลน์อยู่หลายๆแห่ง 

 

เมื่อเรามาเปิดสถิติของ ‘MJ’ กับ ‘LBJ’ เรื่องการทำแต้มรวมต้องยกให้ เลอบรอน ที่สามารถนำ จอร์แดน ไปได้แล้ว โดยเจ้าตัวทำได้ถึง 34, 241 แต้ม ในการลงเล่น 17 ปี ซึ่งตัวเลขก็คงไม่หยุดแค่นี้ เพราะเขาพร้อมที่จะลงเล่นต่อไปจนกว่าลูกเขาจะเข้ามาใน NBA ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเอาการทำแต้ม 34, 241 คะแนนของเขาไปเทียบกับตารางการทำแต้มตลอดกาลของ NBA ตอนนี้ เลอบรอน อยู่ที่อันดับสาม เป็นรองแค่ คารีม อับดุล-จาบาร์ กับ คาร์ล มาโลน เท่านั้น 

 

ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ เช่นจำนวนการรีบาวน์กับแอสซิสต์ต้องยกให้ เลอบรอน เช่นกัน เพราะเขาทำได้สูงกว่า จอร์แดน ในจำนวนรวมและค่าเฉลี่ย

 

เมื่อลองมาดูผลงานที่ ‘MJ’ ทำไว้ก็น่าประทับใจเหมือนกัน ถึงแม้แต้มรวมจะทำได้ 32, 292 และเป็นรอง เลอบรอน แต่เมื่อลองมาดูที่ตัวเลขของการทำแต้มต่อเกมแล้ว จอร์แดน มีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าที่ 30.1 แต้มต่อเกม ระหว่างที่ ‘LBJ’ ทำได้อยู่ที่ 27.1 แต้มต่อเกม 

 

แฟนๆ ก็คงคิดว่า ‘ตัวเลขรวมหรือเฉลี่ย ตัวไหนสำคัญกว่า?’ คำตอบก็คือ สำคัญทั้งคู่นั่นแหละครับ แค่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะให้ความสำคัญกับความสำเร็จแบบระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะถ้าระยะสั้นก็ต้องยอม จอร์แดน ที่ลงเล่นน้อยกว่าแต่ทำแต้มได้มากกว่าในเวลานั้นเมื่อเทียบกัน แต่ในระยะยาวนั้น เลอบรอนกินขาด เพราะทำคะแนนรวมได้มากกว่าแถมมีองค์ประกอบของเกมที่สม่ำเสมอกว่า ‘MJ’ ครับ 

การมีอิทธิพลในสนาม

 

ถ้าไม่มีเขา เราก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ - ความคิดนี้ไม่ได้ใช่แค่กับเรื่องความรัก แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับวงการกีฬาได้ด้วย 

 

การดีเบตเรื่องอิทธิพลในสนาม ระหว่าง ‘MJ’ กับ ‘LBJ’ ถือว่าสูสีกันมาก เพราะทั้งคู่มีความเป็นผู้นำบนคอร์ทสูง เห็นได้ชัดจากการเป็นผู้กระตุ้นให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีม หรือ การเป็นคนที่ทำคะแนนติดๆกัน หลายๆ ครั้งในยามที่ทีมกำลังฟอร์มตก 

 

ถ้าเริ่มกันที่ ‘MJ’ นอกจากจะเป็นนักบาสไม่กี่คนที่ได้แชมป์กับทีมเดียวตลอดอาชีพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีกับทีมที่ดราฟท์เขาเข้ามาเล่นตั้งแต่ปี 1984 แล้ว 

 

การที่เขาคว้าแชมป์ได้ตั้งหกสมัยกับ ชิคาโก บูลส์ ถือว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์สุดๆ เขาสามารถทำแต้มได้อย่างน้อยสิบคะแนนในการลงเล่นกว่า 840 เกมติดต่อกัน และทำได้สำเร็จในช่วงระยะเวลาแค่แปดปีเท่านั้น และหลังจากที่เขาตัดสินใจเลิกเล่น ทีมก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ หรือ แม้แต่ทะลุเข้าไปเล่นในรอบชิงของ NBA ได้อีกเลย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ‘MJ’ เป็นทุกสิ่งและทุกอย่างของ ชิคาโก บูลส์ 

 

จนถึงวันนี้ ถ้าคุณเดินไปเดินมาแถว ชิคาโก ในวันที่บูลส์แข่ง รับรองว่าจะยังมีคนใส่เสื้อของ จอร์แดน เข้าไปชมเกมมากว่าเสื้อของนักบาสยุคปัจจุบันด้วยซ้ำ 

 

คล้ายๆ กับ จอร์แดน ทาง ‘LBJ’ ก็มีความสำคัญกับทุกทีมที่เขาลงเล่นให้เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เขาไปรวมตัวกับ ดเวย์น เวด กับ คริส บอช ที่ ไมอามี ฮีต รวมถึงตอนที่เขาตัดสินใจกลับมาเล่นให้ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ทีมบ้านเกิดและคว้าแชมป์แรกในรอบเกินครึ่งศตวรรษของแฟรนไชส์ จนมาถึงปีนี้กับการทวงบัลลังก์แชมป์คืนมาให้กับ แอลเอ เลเกอร์ส ทุกทีมที่เขาไป เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในทีมเสมอ 

 

การเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของทีมเห็นได้จากการที่อดีตทีมของเขาไม่สามารถคว้าแชมป์ NBA ได้อีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น ความกดดันที่ เลอบรอน เจมส์ต้อง แบกตั้งแต่เด็กถือว่าใหญ่โตมากกว่านักบาสคนอื่นๆในโลกก็ว่าได้ เพราะเขาถูกเรียกว่า ‘THE CHOSEN ONE’ หรือ ผู้ที่ถูกเลือก ตั้งแต่ยังเล่นอยู่ในระดับไฮสคูล และเขาก็ไม่ทำให้ใครผิดหวังตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

 

ข้อดีเบตประเด็นนี้ ถือว่าทั้งคู่เก่งกันคนละแบบ คนหนึ่งอยู่ที่เดิมจนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีม ส่วนอีกคนไปที่ไหนก็ประสบความสำเร็จ พูดยากครับว่าแบบไหนถูกต้องกว่า แต่ต้องยอมรับว่าทั้งคู่มีสไตล์ที่ไม่เหมือนกัน 

การมีอิทธิพลนอกสนาม

 

นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จนอกจากจะต้องทำผลงานในสนามให้คนได้จดจำแล้ว ยังต้องทิ้ง LEGACY หรือ อิทธิพลนอกสนามให้แฟนๆ ได้ชื่นชมอีกด้วย 

 

โดยถ้าพูดถึงเรื่อง LEGACY ทั้ง ‘MJ’ กับ ‘LBJ’ มีอิทธิพลนอกสนามที่ไม่เหมือนกันเลย คนหนึ่งออกแนวสายแฟชั่นกับการสร้างแบรนด์ให้คนจดจำ ส่วนอีกคนจะเป็นผู้นำในเรื่องของสิทธิมนุษยชนและการมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชน

 

ถ้าว่ากันด้วยเรื่อง ‘เจ้าพ่อ’ ของการตลาดในวงการกีฬาต้องยอมรับว่าไม่มีใครสู้ ไมเคิล จอร์แดน ได้แน่นอน เพราะรองเท้า AIR JORDAN ของเขามีมูลค่าที่สูงที่สุดในหมู่รองเท้าสายสตรีทที่ประมาณ $1.6 พันล้าน ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่รุ่นแรกที่เขาได้สวมใส่ในช่วงที่เขายังลงเล่น จนมาถึงคู่ล่าสุดที่เพิ่งออกลวดลายใหม่ ทุกคู่มีราคาหลัก $500+ หรือ เกินหมื่นบาททั้งหมด แถมออกใหม่เมื่อไหร่ ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องขึ้นป้าย SOLD OUT ทันทีครับ 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าการตลาดของ ‘MJ’ กับ AIR JORDAN ไม่ได้หยุดแค่รองเท้าแต่มีทั้งเสื้อผ้า กับ อุปกรณ์แฟชั่นอื่นๆที่คนทั่วโลกพร้อมต่อแถวจับจองกันอีกด้วย ทั้งหมดนี้ก็เป็นเหตุที่ทำให้ จอร์แดน เป็นเจ้าพ่อแห่งแบรนด์กีฬาสายสตรีท (อยากรู้รายละเอียดเรื่องรองเท้า จอร์แดน มากกว่านี้ CLICK ที่นี่)

 

ในทางตรงข้าม เลอบรอน เจมส์ นอกสนามถูกแฟนๆมากมายชื่นชมว่าเป็น ผู้นำเรื่องการให้ความสำคัญเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ BLACK LIVES MATTER หรือ เมื่อหกปีก่อน I CAN’T BREATHE นั้น ‘LBJ’ จะคอยเป็นคนที่ใช้พื้นที่กีฬาเพื่อให้ตนได้เป็นเสียงให้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับกลุ่มคนที่โดนความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติเล่นงาน ทั้งหมดนี้ทำให้เจ้าตัวได้รับการยกย่องจากหลายๆฝ่ายว่าเป็นผู้เล่นที่มากกว่าแค่นักกีฬาในสนาม หรือ ‘MORE THAN AN ATHLETE’ 

 

ประเด็นของอิทธิพลนอกสนามของ ‘LBJ’ อาจไม่ได้ทำให้เขามีคุณค่าทางตลาดหรือแบรนด์ส่วนตัวที่สูงเทียบเท่า AIR JORDAN แต่ การที่เขาช่วยเหลือผู้อื่นก็ทำให้แฟนๆบาสรักและยอมรับในความเป็นเขา

 

ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เราต้องสิ้นสุดดีเบตสำคัญระหว่าง ไมเคิล จอร์แดน กับ เลอบรอน เจมส์ ถ้าต้องให้เลือกจริงๆ ว่าใครเก่งกว่า ณ ตอนนี้คงยังเป็น ‘MJ’ เพราะการที่เขาเป็นนักบาสที่คว้าแชมป์ในรอบ NBA FINALS ได้แบบ PERFECT ถึงหกสมัย แต่ เลอบรอน ยังได้เปรียบในเรื่องที่กำลังเล่นอยู่และสามารถคว้าแชมป์ได้อีกในอนาคต 

 

แฟนๆ ก็อย่าลืมติดตาม NBA ฤดูกาลหน้ากันด้วยนะครับ แล้วลุ้นกันว่าใครจะเดินออกมาในฐานะแชมป์คนต่อไป 


stadium

author

Ta Lao

StadiumTH Content Creator