3 พฤษภาคม 2563
ขี่ม้าเป็นเพียงกีฬาชนิดเดียวในโอลิมปิกที่คนและสัตว์ได้ลงแข่งด้วยกัน สิ่งสำคัญของกีฬาชนิดนี้คือการรวมใจเป็นหนึ่งระหว่างคนกับม้า ถ้าหากสิ่งมีชีวิตทั้งสองอย่างนี้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคงไม่มีทางจะประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นคนที่จะเล่นกีฬาชนิดนี้ต้องเสียสละเวลาความเป็นส่วนตัวเพื่อดูแลใส่ใจอีกหนึ่งชีวิตที่มีความหมายไม่ต่างกัน อย่างเช่น สายลับ เลิศรัตนชัย นักกีฬาขี่ม้าสาวทีมชาติไทย ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจากการตกม้าต้องพักนานร่วมปี แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวเธอยังอุทิศมันให้กับดูแลม้าควบคู่ไปกับการรักษาตัวเอง
อะไรที่ทำให้หญิงสาวคนนี้หลงใหลในกีฬาขี่ม้าได้มากมายขนาดนั้น
จากสระว่ายน้ำ ก้าวขึ้นสู่หลังม้า
“ขี่ม้ามันเป็นชีวิตหนูไปแล้วค่ะ” ประโยคแรกจากปากสายลับ ที่บ่งบอกความรู้สึกของเธอที่มีต่อกีฬาชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี
สายลับ เลิศรัตนชัย เด็กสาวที่มีใจรักในการเล่นกีฬา มีความฝันอยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ เริ่มต้นจากการเป็นนักกีฬาว่ายน้ำโรงเรียนประถมมาก่อน แต่ด้วยสรีสะที่ผอมบางและไม่สูง ช่วงแขนดึงสโตรคได้ไม่ยาวเหมือนนักกีฬาว่ายน้ำทั่วไป ซึ่งดูแล้วหากเลือกเส้นทางสายนี้อาจทำให้ไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นนักกีฬาทีมชาติได้ตามหวังไว้ ทำให้เธอดูจะไม่เหมาะกับกีฬาชนิดนี้เท่าไหร่นัก และเมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิตทำให้เธอต้องเลือกเล่นกีฬาชนิดใหม่
“หนูเป็นนักว่ายน้ำโรงเรียนมาก่อน แต่หนูเป็นคนตัวเล็กและไม่ได้ถูกฝึกให้มาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหมือนคนอื่น ก็เล่นได้ถึงตอนอายุประมาณ 10 ขวบ พอเรารู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้ ก็เลยลองหาอะไรอย่างอื่นเล่นดู”
“ซึ่งขี่ม้าเป็นกีฬาที่สรีระไม่ได้เป็นอุปสรรคในการแข่งขันของเรา คนตัวเล็กก็เล่นเก่งได้ เป็นผู้หญิงก็แข่งได้ เราก็รู้ว่าเออมันก็แฟร์ดีนะ ก็เลยลองเล่นดูและชอบมาก คือหนูเป็นคนชอบสัตว์อยู่แล้ว มันเลยเล่นง่ายขึ้น”
“จริงๆหนูขี่ม้าได้ตั้งแต่เด็กๆนะ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามันกีฬาได้ เมื่อก่อนตอนเด็กๆ พ่อก็พาไปขี่ม้าในแถบเขาใหญ่ แต่พอรู้ว่าเป็นกีฬาหนูก็เลยไปเรียนกับพี่ปูไข่ (พงศ์สิรี บรรลือวงศ์ อดีตนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย คนแรกที่ได้ไปโอลิมปิก) เขาเป็นคนที่เก่งมาก เราก้ได้เรียนรู้จากเขาเยอะ”
“ตั้งแต่ตอนนั้นมา หนูก็เลยจริงจังกับกีฬาชนิดนี้ มีแรงบันดาลใจอยากติดทีมชาติเหมือนพี่ปูไข่ ตอนนั้นประมาณ 10 ขวบค่ะ พอเขาเลิกไม่ได้ขี่ม้าแล้วก็แนะนำให้รู้จักกับพี่ อรรคสิทธิ์ เตียตระกูล รับช่วงต่อเป็นโค้ชของหนูจนถึงทุกวันนี้”
แรงผลักดันจากครอบครัว
สายลับ เกิดและโตมาในครอบครัวสมบูรณ์แบบมี คุณแม่ส้มโอ เพ็ญพิสุทธิ์ อดีตนางเอกชื่อดัง และคุณพ่อ วินิจ เลิศรัตนชัย อดีตดีเจคนดัง ซึ่งตอนนี้นักธุรกิจเต็มตัว รวมถึงน้องสาวอย่าง เสียงซอ ก็เป็นนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติด้วยกัน สนิทสนมกันทั้งครอบครัวทุกครั้งที่เห็นภาพตามสื่อเราจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากครอบครัวนี้
“ครอบครัวหนูสนับสนุนเต็มที่ทุกอย่างค่ะ ให้อิสระในการตัดสินใจ ตอนที่หนูบอกว่าอยากเป็นนักกีฬาขี่ม้าพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ถามเหตุผลเราสักคำ หรือเวลาที่เราตกม้าครอบครัวก็ไม่เคยกังวลหรือมาถามว่าพอมั้ยมันเจ็บนะ อะไรแบบนี้ไม่มีเลยค่ะ มีแต่ถามว่าเจ็บไหม เหมือนกับเขาเห็นว่าเรามีความสุขมากขนาดไหนเวลาที่อยู่บนหลังม้า ก็เลยปล่อยให้เราทำเต็มกันที่”
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะเอาดีทางด้านนี้ รวมถึงครอบครัวก็สนับสนุนเต็มที่ เพื่อที่จะทำให้เธอก้าวเป็นนักกีฬาทีมชาติได้ตามที่หวัง จึงตัดสินใจขอครอบครัวไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศเนเธอแลนด์เพียงลำพัง ซึ่งที่นั่นเปรียบเสมือนโลกของคนรักการขี่ม้า มีแข่งทุกสัปดาห์ ถือเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เธอได้เติบโตขึ้น
“ประมาณปี 2010 ค่ะ หนูตัดสินใจขอครอบครัวไปอยู่ที่ฮอลแลนด์ คือใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเลยทั้งเรียน ซ้อม แข่ง คือในแถบนี้ ฮอลแลนด์ เบลเยียม มันเหมือนโลกของนักขี่ม้า มีแข่งบ่อยมากค่ะ เป็นรายการอินเตอร์เนชั่นแนล รายการเล็ก ใหญ่ โลคอลบ้าง ทุกสัปดาห์มีแข่งตลอด ทำให้เราแพลนได้ง่ายขึ้นได้พัฒนาตัวเองตลอด”
“ฮอลแลนด์ 8-9 ปีเหนื่อยมากๆค่ะ คือเราเป็นเด็กเอเชียไปอยู่คนเดียวท่ามกลางฝรั่ง มันยากเพราะพวกนี้เขาดูถูกคนเอเชียเป็นทุนอยู่แล้ว กว่าจะพิสูจน์ตัวเองให้คนที่นั่นยอมรับได้ ใช้เวลานานค่ะกว่าจะมีเพื่อน แต่ไปอยู่ที่โน่นหนูก็ไม่ได้กลัวนะ ถึงมันจะลำบากแต่ก็ทำให้เราโตขึ้น คือเราตัดสินใจแล้วว่ามาเพื่อพัฒนาตัวเอง แพสชั่นเต็มร้อย มันเลยทำให้หนูไม่สนใจสิ่งรอบข้าง”
ก้าวสู่ทีมชาติ
“จริงๆกีฬาขี่ม้ามันมีเสน่ห์นะคะ” สายลับ เล่าต่อถึงความน่าหลงใหลของกีฬาชนิดนี้
“เล่นกับสิ่งมีชีวิต ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับเขาให้ได้จึงจะประสบความสำเร็จ ตื่นเต้นดีค่ะ ถามว่ายากไหมคือหนูมีทักษะด้านกีฬาอยู่แล้ว ก็เลยใช้เวลาไม่นานมากต้องทำความเข้าใจ บวกกับความชอบ ความตั้งใจ ใช้เวลากว่า 10 ปีถึงติดทีมชาติ”
หลังไปใช้ชีวิตอยู่ที่เนเธอแลนด์ได้ไม่นาน ในที่สุดผลของความพยายาม ความรัก ความมุ่งมั่นที่เธอทุ่มเทมาตลอดก็ทำให้ฝันเธอเป็นจริง ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2014 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ เธอมีชื่อติดทีมชาติเป็นครั้งแรกในประเภทกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ประสบการณ์ครั้งแรกของ สายลับ ไม่ธรรมดาควบม้าคู่ใจ “ฟราว” จบอันดับที่ 15 หลังจากนั้นเธอก็ติดทีมชาติมาตลอดทั้งซีเกมส์ 2015 , 2017 ได้ 1 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง แน่นอนว่ามันเป็นความสำเร็จก้าวแรก แต่เธอยังมีเป้าหมายที่อยากทำให้อยู่ 2-3 อย่าง
“หนูจะจำคำสอนของโค้ชได้อยู่เสมอค่ะ ว่าถ้าคุณหยุดซ้อมไปหนึ่งวัน คุณจะช้ากว่าคนอื่นไปอีกวัน วันไหนเหนื่อยขี้เกียจก็จะคิดถึงคำนี้ ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ทำหนูก้าวมาถึงทีมชาติได้”
“หนูมีความสุขมากๆ ตอนที่ติดทีมชาติครั้งแรก คือความฝันเราเป็นจริงแล้วนะ ภูมิใจมากที่ได้ทำเพื่อประเทศ”
“เป้าหมายสูงสุดจริงๆคือโอลิมปิก แต่พอโตขึ้นมาการจะติดโอลิมปิกมันมีหลายปัจจัย เมื่อก่อนมองเป็นความฝัน แต่ทุกวันนี้กลายเป็นแฟนตาซีมากกว่า เราอยากไปถึงให้ได้ แต่ ณ เวลานี้ คิดว่าความสามารถเราที่พอทำได้ คือ เหรียญทองซีเกมส์ เพราะประเภที่หนูเล่นยังไม่เคยมีคนไทยได้เหรียญทองมาก่อน”
“อีกอย่างคือติดท็อป 5 เอเชียนเกมส์ คิดว่าพอทำได้ ก็พยายามทำอยู่ แต่โอลิมปิกถ้าโอกาสมันมีก็อยากลองทำ ชีวิตหนูการรับใช้ทีมชาติก็ประสบความสำเร็จแล้ว พอใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องฝ่าฝันมา”
หลังจบเอเชียนเกมส์ 2018 สายลับ เดินทางกลับมาซ้อมที่ประเทศไทย เพื่อเตรียมคัดตัวสำหรับซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์ในปีต่อมา แต่สุดท้ายเจ้าภาพได้ตัดขี่ม้าออกจากการแข่งขันทำให้เธอเลือกที่จะลงแข่งขันเก็บคะแนนในรายการคิงส์คัพ หรือ ชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งเป็นรายการที่เธอไม่เคยได้แชมป์มาก่อน เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วจะเดินสายแข่งขันที่เนเธอแลนด์
กระทั่งการแข่งขันเก็บคะแนนเข้าสู่รายการสุดท้าย เธอมีคะแนนอยู่เป็นอันดับ 2 และมีโอกาสที่จะเป็นแชมป์ด้วยเช่นกัน อย่างก็ตามในการซ้อมรอบสุดท้ายก่อนแข่งเพียงสัปดาห์เดียว เธอพลาดตกม้า แต่คราวนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนๆ เพราะดันลงผิดท่าทำให้กระดูกที่เข่าขวาแตกต้องผ่าตัดใส่เหล็กดาม และต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเกือบ 1 ปีเต็ม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอต้องห่างเหินจากขึ้นหลังม้านานที่สุดในชีวิต
“จะกลับไปขี่ม้าได้เมื่อไหร่” ประโยคแรกที่เธอถามหมอ หลังตื่นขึ้นมาจากการผ่าตัด จากนั้นเธอเล่าต่อว่าทุกช่วงเวลาที่เธอได้อยู่กับม้า เป็นเวลาที่มีความสุข ราวกับว่าทั้งชีวิตเธอการขี่ม้าเปรียบเสมือนลมหายใจเข้าออกของเธอไปแล้ว
“หนูมีความสุขที่สุดเวลาอยู่บนหลังม้ามีแต่ความสุข เวลาเครียดมากๆ พอได้ขี่ม้า ไม่มีเรื่องอื่นในหัว ผ่อนคลาย ในวันที่หนูเจ็บขึ้นหลังม้าไม่ได้ เหมือนความสุขในชีวิตมันหายไป”
“หนักที่สุดในชีวิตเลยค่ะ ก่อนหน้าก็มีเจ็บหลัง เจ็บเรื่อยๆเพราะกระดูกสันหลังคดตรงปลายถึงสะโพก เข่าเอ็นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ไม่ร้ายแรง แต่ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ตกม้าเบามาก ไม่น่าจะเป็นอะไรได้เยอะเหมือนคนเดินตกเก้าอี้ แต่ลงผิดท่า ได้ยินเสียงกระดูกแตกขึ้นมาถึงสมอง”
“ตอนลงไปนอนที่พื้นก็คิดแล้วว่า แย่ละ แต่ไม่ตกใจ นอนนิ่งๆ ยกมือขึ้นให้แม่กับน้องเรียกรถพยาบาลมาทุกคนไม่ตกใจเพราะตกไม่แรง น้องก็คิดว่าหนูโอเค ตอนนั้นไม่กลัวนะ เหมือนทำใจแล้ว น่าจะเจ็บเยอะ พยายามขยับขาแล้วมันขยับไม่ได้”
“เป็นเวลา 10 เดือนคันมือมากเลยค่ะ จะขาดใจตาย อยากขี่ม้า มันเหนื่อยนะ มีบางวันทีท้อ บางวันเหมือนจะดี มีข้อจำกัดเยอะ ต้องใช้ความอดทนพอสมควร ความมีวินัยในการพยายามออกกำลังกายภาพเวลาเจ็บ ก็ต้องฝืนทำ ยากตรงมีวินัยพอ แต่รวมๆหนูก็ค่อนข้างโอเคนะ เวลามันทำอะไรไม่ได้เยอะ เรามีเวลามานั่งดูแลตัวเอง ก็เลยแบบหายได้เร็วขึ้นกว่าที่คิดไว้ ครอบครัวช่วยดูแลตลอดก็เลยผ่านมันมาได้”
เป็นมากกว่ากีฬา
“พอหนูออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ พอรู้สึกว่าขึ้นลงบันไดได้แล้ว หนูก็ก็ไปคอกม้าทันที ขอแค่ได้นั่งดู ไปนั่งสอนน้อง สอนเด็กได้เจอม้า แค่นี้จิตใจมันก็ดีขึ้น ตอนแรกต้องไปทำกายภาพที่โรงพยาบาล แต่มันเหมือนเราอยู่กับคนป่วยเยอะ จิตใจห่อเหี่ยว เลยคุยกับหมอ หมอบอกว่าเรามีวินัยทำที่บ้านเองได้ ก็ไม่ต้องมา” สายลับ เล่าต่อ
อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่ากีฬาขี่ม้าจะต้องใส่ใจอีกหนึ่งชีวิต แตกต่างจากกีฬาอื่นๆที่อุปกรณ์ในการเล่นเป็นสิ่งของ แม้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่เพียบพร้อม แต่ด้วยบุคลิกที่เป็นคนสบาย ๆ ลุย ๆ รักสัตว์ ทำให้เธอไม่กลัวที่ต้องคลุกคลีอยู่กับม้า ซึ่งเป็นสัตว์ที่การเลี้ยงดูค่อนข้างยาก มีแค่ใจรักอาจไม่พอ ต้องมีความดูด้วยเช่นกัน
“หนูมีม้าอยู่ ประมาณ 6 ตัวรวมของน้องซอด้วยขี่ด้วยกัน รักทุกตัวค่ะ แต่ว่าม้าสีขาวที่ชื่อ เจ้าฟราวด์ กับ เคลซี่ ของหนูสองตัวที่ฮอลแลนด์ จะเป็นตัวที่คู่ใจหนูที่สุด”
“มันเป็นสัตว์ที่ดูแลยากนะ อารมณ์เหมือนเลี้ยงหมา แต่ยากกว่า 10 เท่า ต้องมีความรู้ ศึกษา ใจรัก ต้องทำ อย่างที่รู้กันคอกม้ามันมีทั้งกลิ่นและแบคทีเรียเยอะ แต่หนูก็ไม่เคยรังเกียจเลยนะ เพราะเป็นสิ่งที่มากับกีฬานี้ หนูเป็นคนลุยๆด้วย ก็เลยไม่ได้เป็นปัญหา”
ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งผูกพันคนเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะแมวหรือสุนัข จะเข้าดีใจดีว่าสัตว์ทุกตัวน่าหลงใหลขนาดไหน แต่ละตัวก็มีเสน่ห์ของมัน ยิ่งเวลาที่พวกมันไม่สบาย ทาสแมว ทาสหมา อย่างเราก็มักใจคอไม่ดี รีบพาไปรักษา สำหรับสายลับก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน
“เวลาที่ม้าไม่สบาย หนูเจ็บกว่ามันสิบเท่าเลยนะ มันพูดกับเราไม่ได้ว่าเจ็บตรงไหน แต่เราเห็น มันทำให้เราปวดใจมากเลยนะ หลายๆครั้งเราเองก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มันบาดเจ็บ เราก็เสียใจนะคะ แต่ก็ทำความเข้าใจไปด้วยว่ามันธรรมชาติของการขี่ม้า สิ่งที่ทำได้คือรักษาเขาให้ดีที่สุด”
“พอหนูออกจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ พอรู้สึกว่าขึ้นลงบันไดได้แล้ว หนูก็ก็ไปคอกม้าทันที ขอแค่ได้นั่งดู ไปนั่งสอนน้อง สอนเด็กได้เจอม้า แค่นี้จิตใจมันก็ดีขึ้น ตอนแรกต้องไปทำกายภาพที่โรงพยาบาล แต่มันเหมือนเราอยู่กับคนป่วยเยอะ จิตใจห่อเหี่ยว เลยคุยกับหมอ หมอบอกว่าเรามีวินัยทำที่บ้านเองได้ ก็ไม่ต้องมา”
คนเราเมื่อได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตในกับสิ่งที่รักไปจนหมดแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ได้กลับมามันคือความสุขทั้งทางกายและทางใจ สำหรับ สายลับ แล้วการได้อยู่กับม้า นอกจากจะเป็นมากกว่า เพื่อน สัตว์ และกีฬาแล้ว ยังเปรียบเสมือนครูอีกหนึ่งคนในชีวิตที่ทำให้เธอได้เติบโตขึ้น เป็นคนมีความรับผิดชอบ รู้จักใส่ใจคนอื่น
“ขี่ม้าเป็นสิ่งที่สร้างหนูขึ้นมาเป็นคนแบบนี้ มันสอนอะไรหลายอย่างๆ ความรับผิดชอบ วินัย อดทน แรงกดดัน เราต้องใส่ใจ คนอื่น อย่างม้า เพื่อนร่วมทีม มนุษสัมพันธ์ที่ดี สามรถมีทีมที่ดี มันสอนหลายเรื่องๆ”
TAG ที่เกี่ยวข้อง