stadium

10 การเสริมทัพสุดแย่ในพรีเมียร์ลีกที่ไม่มีใครอยากจำ

6 ตุลาคม 2563

ตลอดระยะเวลากว่า 28 ปีของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มีการซื้อขายนักเตะเกิดขึ้นมากมาย และด้วยการที่เป็นลีกซึ่งมีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล แต่ละทีมย่อมมีงบให้ใช้จ่ายก้อนโต ดังนั้นพวกเขาย่อมยอมลงทุนกับนักเตะที่จะนำความสำเร็จเข้ามาสู่ทีม บางครั้งนักเตะที่ได้มาก็คุ้มค่าคุ้มราคา บางครั้งนักเตะที่ได้มาก็ทำผลงานเกินคาด แต่ก็มีบางครั้งที่กลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

 

อาการบาดเจ็บ, ปัญหาการปรับตัว, พฤติกรรมส่วนตัว หรือกำแพงด้านภาษาอาจทำให้นักเตะเหล่านั้นทำผลงานไม่ได้ตามที่คาดหวัง ซึ่งมีนักเตะมากมายที่ต้องเจอกับปัญหาเหล่านี้ แต่เมื่อพิจารณาจากความเสียหายของสโมสรบวกลบกับความคาดหวังในตัวนักเตะแล้ว มีอยู่ 10 คนที่เป็นเรื่องเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอันดับ 1 ที่เป็นเรื่องสุดเหลือเชื่อ แต่จะมีใครบ้างนั้น ติดตามได้ที่นี่

 

 

10. มาริโอ บาโลเตลลี่ (กองหน้า)  

 

ย้ายจาก เอซี มิลาน ไป ลิเวอร์พูล ในปี 2014 ราคา 18 ล้านปอนด์

 

ลิเวอร์พูลตัดสินใจดึงศูนย์หน้าทีมชาติอิตาลีมาจาก เอซี มิลาน เพื่อเอามาแทน หลุยส์ ซัวเรซ ที่ย้ายไป บาร์เซโลน่า ซึ่งเมื่อดูจากองค์ประกอบแล้ว ถือเป็นตัวเลือกที่ดี ทั้งเรื่องอายุแค่ 24 ปี, เพิ่งยิง 14 ประตูในลีกให้มิลาน, มีค่าตัวที่เหมาะสม และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือของทีมยังขึ้นชื่อเรื่องเค้นศักยภาพนักเตะ

 

แต่ไม่นาน ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่า การคว้าตัว บาโลเตลลี่ คือหายนะ หลังจากเจ้าตัวยิงไปแค่ 1 ประตูในลีกจากการลงสนาม 939 นาที ก่อนจะย้ายกลับไปเล่นให้ เอซี มิลาน แบบยืมตัว ขณะที่ ร็อดเจอร์ส โดนปลดออกจากตำแหน่ง ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เข้ามาแทนก็ไม่สนใจใช้งาน และตัดสินใจปล่อยให้ย้ายไปร่วมทีมนีซแบบไม่มีค่าตัวในฤดูกาลต่อมา

 

 

9. วินสตัน โบการ์เด้ (กองหลัง)

 

ย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไป เชลซี ในปี 2000 แบบไม่มีค่าตัว

 

แม้จะย้ายมาเล่นในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แบบไม่มีค่าตัว แต่โบการ์เด้ก็ฟันค่าเหนื่อยแพงระยับถึง 40,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในยุคนั้น อย่างไรก็ตามเหมือนโชคชะตาเล่นตลกเมื่อ จานลูก้า วิอัลลี่ ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจากคว้าตัวโบการ์เด้ได้เพียง 13 วัน ส่วนคนที่เข้ามาแทนอย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ ก็ไม่ได้ให้ราคากองหลังทีมชาติฮอลแลนด์เท่าไรนัก

 

หลังจากนั้นโบการ์เด้กลายเป็นส่วนเกินในทีม แต่เจ้าตัวก็ไม่ทุกข์ร้อนเพราะได้ค่าเหนื่อยก้อนโต ซึ่งโบการ์เด้เปิดเผยในภายหลังว่า ความจริงแล้วเขาก็อยากลงเล่น และมีหลายสโมสรติดต่อขอยืมตัว แต่เชลซีไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะมีทีมใดอาสาแบกภาระค่าเหนื่อยทั้งหมด ซึ่งเป็นไปได้ยากกับนักเตะที่ขาดความฟิตรวมทั้งเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น ดังนั้นเจ้าตัวจึงยอมถอยฉากออกไป และโดนส่งไปซ้อมกับทีมสำรองและทีมเยาวชนจนกระทั่งแขวนสตั๊ดในปี 2004 โดยได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเพียง 9 นัดเท่านั้น

 

 

8. โทมัส โบรลิน (กองกลาง)

 

ย้ายจาก ปาร์ม่า ไป ลีดส์ ยูไนเต็ด ในปี 1995 ราคา 4.5 ล้านปอนด์

 

ลีดส์จึงตัดสินใจควักเงิน 4.5 ล้านปอนด์ ดึง โบรลิน เข้ารังในช่วงหน้าร้อนปี 1995 แม้ปีก่อนหน้านั้นเจ้าตัวจะได้รับบาดเจ็บหนักที่เท้า และได้ลงเล่นเพียงไม่กี่นัดเท่านั้นก็ตาม ซึ่งความจริงแล้วผลงานของเจ้าตัวก็ไม่ได้ย่ำแย่มากนัก โดยยิงไป 4 ประตูจากการลงเล่นพรีเมียร์ลีก 18 นัด แต่จุดเปลี่ยนคือการที่เจ้าตัวถูก โฮเวิร์ด วิลกินสัน ผู้จัดการทีมจับไปเล่นตำแหน่งปีกที่ไม่ถนัด

 

หลังจากนั้นเรื่องราวของตัวรุกขาวสวีเดนกับลีดส์ก็ดิ่งลงเหว ทั้งปัญหาฟอร์มตก, อาการบาดเจ็บเรื้อรัง, การขาดวินัยในการซ้อม และขาดความมุ่งมั่นในการลงแข่ง รวมทั้งความขัดแย้งกับผู้จัดการทีม โบรลินปฏิเสธที่จะกลับไปเล่นให้สโมสร และย้ายไปอยู่กับ เอฟซี ซูริค แบบยืมตัว พร้อมรับค่าเหนื่อยขั้นต่ำเพื่อแสดงให้เห็นว่าเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา ก่อนจะได้ย้ายกลับไปเล่นให้ปาร์ม่าแบบยืมตัวอีกครั้งในเวลาต่อมา

 

เมื่อหมดสัญญายืมตัวและต้องกลับต้นสังกัดที่แท้จริงซึ่งเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น จอร์จ เกรแฮม เจ้าตัวก็ถูกส่งลงไปเล่นกับทีมสำรองเพราะขาดความฟิต, น้ำหนักเกิน และฟอร์มตก แต่โบรลินก็ยังทำตัวขวางโลก ทั้งโดดซ้อม, ไม่ปรากฏตัวในวันแข่ง และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจนลีดส์ทนไม่ไหวต้องตัดสินใจยกเลิกสัญญาในปี 1997 ซึ่่งโบรลินได้ไปเล่นกับ คริสตัล พาเลซ ในปีต่อมา ก่อนจะแขวนสตั๊ดในวัย 28 ปี

 

 

7. อังเดร เชฟเชนโก้ (กองหน้า)

 

ย้ายจาก เอซี มิลาน ไป เชลซี ในปี 2006 ราคา 39.5 ล้านปอนด์

 

หลังจากตามจีบมานานในฐานะกองหน้าขวัญใจ สุดท้าย โรมัน อบราโมวิช ก็กล่อมให้ เอซี มิลาน ยอมขายเชฟเชนโก้ให้เชลซีด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของเกาะอังกฤษ ซึ่งทุกคนต่างมีความเห็นตรงกันว่า เชฟเชนโก้ จะมาเป็นตัวเลือกแรกของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในตำแหน่งศูนย์หน้า แทนที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เมื่อพิจารณาจากผลงานที่ทำเอาไว้กับปิศาจแดงดำ

 

แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ, ฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวา และการคืนฟอร์มเก่งของดร็อกบา ทำให้ เชฟเชนโก้ ยิงในลีกได้เพียง 9 ประตู จากการลงเล่น 48 เกม ซึ่งด้วยการที่ มูรินโญ่ ไม่สามารถเค้นศักยภาพของศูนย์หน้าชาวยูเครนออกมาได้ รวมทั้งยังจับเจ้าตัวไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด ถึงกับทำให้ อบราโมวิช ปลดกุนซือชาวโปรตุกีสออกจากทีมในปี 2007 เลยทีเดียว แต่ฟอร์มของเชฟเชนโก้ก็ไม่ได้ดีขึ้น ก่อนจะย้ายไปเล่นกับมิลานแบบยืมตัวในฤดูกาล 2008-09 และย้ายกลับไปเล่นกับ ดินาโม เคียฟ ทีมแรกในอาชีพของตัวเองปีต่อมาจนแขวนสตั๊ดในปี 2012

 

 

6. ดานี่ ออสวัลโด้ (กองหน้า)

 

ย้ายจาก โรม่า ไป เซาธ์แฮมป์ตัน ในปี 2013 ราคา 13.6 ล้านปอนด์

 

ออสวัลโด้คือนักเตะที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม ซึ่งเซาธ์แฮมป์ตันรับรู้ข้อนั้นเป็นอย่างดี หลังจากเจ้าตัวถูกโรม่าลงโทษในกรณีทะเลาะวิวาทกับ เอริก ลาเมล่า แต่ทีมนักบุญก็ยังคงลองเสี่ยงกับศูนย์หน้าที่ยิงไป 27 ประตูจากการลงเล่น 55 นัดกับหมาป่าแห่งกรุงโรม

 

หลังจากยิงไป 3 ประตูจากการลงเล่น 855 นาทีในพรีเมียร์ลีก ออสวัลโด้ก็มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์จนทำให้ช่วงเวลากับเซาธ์แฮมป์ตันต้องจบลงในเวลาอันสั้น เขาทะเลาะวิวาทกับ โชเซ่ ฟอนเต้ เพื่อนร่วมทีมในสนามซ้อม หลังจากที่ก่อนหน้านั้นไม่นานเพิ่งจะถูกลีกลงโทษแบนจากการมีส่วนในเหตุทะเลาะวิวาทข้างสนาม ออสวัลโด้ไม่ได้ลงเล่นให้เซาธ์แฮมป์ตันอีกเลยและถูกปล่อยให้ ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ โบคา จูเนียร์ส ยืมไปใช้งานก่อนจะถูกปล่อยตัวออกจากสโมสร

 

 

5. อาเดรียน มูตู (กองหน้า)

 

ย้ายจาก ปาร์ม่า ไป เชลซี ในปี 2003 ราคา 17.1 ล้านปอนด์

 

หนึ่งในการเสริมทัพชุดแรกๆ ในยุค โรมัน อบราโมวิช โดย มูตู ถูกซื้อมาเพื่อจับคู่กับ เอร์นาน เครสโป อีกหนึ่งยอดดาวยิงจาก เซเรีย อา ซึ่งกองหน้าชาวโรมาเนียทำผลงานได้ดีในฤดูกาลแรกกับทีม หลังยิงได้ 6 ประตูกับ 8 แอสซิสต์ แต่ได้ลงเล่นเพียง 2 เกมเท่านั้นในฤดูกาลต่อมา หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น มูรินโญ่ ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกจากสโมสร ด้วยสาเหตุที่ถูกตรวจพบว่ามีสารเสพติดชนิดโคเคนอยู่ในร่างกาย

 

มูตูถูกแบนจากวงการฟุตบอลยาวถึง 7 เดือน ขณะที่เชลซีตัดสินใจยกเลิกสัญญากับนักเตะก่อนที่จะเริ่มต้นดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งหลังจากผ่านการอุทธรณ์หลายครั้ง ศ่าลก็ตัดสินให้มูตูต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่ายค่าชดเชยให้เชลซีถึง 17 ล้านยูโร

 

 

4. บอสโก้ บาลาบัน (กองหน้า)

 

ย้ายจาก ดินาโม ซาเกร็บ ไป แอสตัน วิลล่า ในปี 2001 ราคา 7 ล้านปอนด์

 

แม้ตัวเลข 7 ล้านปอนด์จะดูจิ๊บจ้อยเมื่อเทียบกับค่าตัวนักเตะปัจจุบัน แต่เมื่อพิจารณาจากการที่ตัวเลขนี้คือค่าตัวนักเตะแพงเป็นอันดับที่ 23 ของพรีเมียร์ลีกในตลาดซื้อขายปี 2001 ซึ่งเป็นอันดับเดียวกับที่ อโยเซ่ เปเรซ ย้ายจาก นิวคาสเซิล ไปร่วมทีม เลสเตอร์ ด้วยราคา 30.1 ล้านปอนด์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็นับว่าต้องมีความคาดหวังตามมาไม่น้อยเช่นกัน

 

นี่คือสถิติค่าตัวนักเตะแพงที่สุดอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์ของวิลล่า ณ เวลานั้น ซึ่งมีรายงานระบุว่า ค่าตัวส่วนใหญ่เข้ากระเป๋าของบาลาบันโดยตรงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อวัดกับผลงานในสนาม ก็เหมือนวิลล่าเอาเงินก้อนไปโยนทิ้งน้ำ เพราะกว่าที่เจ้าตัวจะลงเล่นได้ครบ 90 นาที ก็ต้องใช้เวลาถึง 8 เดือน และเป็นเกมของทีมสำรองอีกด้วย ตลอดชีวิตในถิ่นวิลล่า พาร์ค บาลาบัน ไม่เคยลงเป็นตัวจริงแม้แต่นัดเดียว ได้ลงสนามรวม 138 นาทีจาก 8 เกม ก่อนจะถูกส่งกลับไปให้ ดินาโม ซาเกร็บ ยืมใช้งาน และหลังจากขู่ว่าจะอยู่กับทีมสำรองเพื่อกินเงินค่าเหนื่อยในสัญญาที่เหลือ วิลล่าก็ตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อยกเลิกสัญญาทันที

 

 

3. ริคกี้ อัลวาเรซ (กองกลาง)

 

ย้ายจาก อินเตอร์ มิลาน ไป ซันเดอร์แลนด์ ในปี 2015 ราคา 9.5 ล้านปอนด์

 

นี่คือหนึ่งในดีลที่ซับซ้อนและชวนงงที่สุด เริ่มจาก ซันเดอร์ ยืมตัว อัลวาเรซ มาจาก อินเตอร์ ในปี 2014 พร้อมกับค่าเซ็นสัญญา 900,000 ปอนด์ โดยมีเงื่อนไขบังคับซื้อหากทีมรอดตกชั้นในราคา 9.5 ล้านปอนด์ ปัญหาคืออัลวาเรซพกอาการเจ็บเข่าติดตัวมาด้วยทำให้ได้ลงเล่นเพียง 13 เกม แต่ซันเดอร์แลนด์ดันรอดตกชั้นทำให้เข้าเงื่อนไขต้องซื้อนักเตะไปร่วมทีมแบบถาวร

 

ทีมแมวดำพยายามหาทางออกโดยอ้างว่า อาการบาดเจ็บเข่าขวาเป็นผลมาจากปํญหาที่เข่าซ้ายซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขารับรู้ในข้อตกลงเบื้องต้น ดังนั้นเงื่อนไขบังคับซื้อจึงไม่ควรมีผล ขณะเดียวกัน ซันเดอร์แลนด์ยังตัดสินใจไม่ยื่นสัญญาส่วนตัวให้กับอัลวาเรซเพื่อแสดงจุดยืนของสโมสร ส่งผลให้นักเตะสามารถเซ็นสัญญากับ ซามพ์โดเรีย แบบไม่มีค่าตัว นั่นหมายความว่า ซันเดอร์แลนด์ จ่ายเงิน 9.5 ล้านปอนด์ เพื่อนักเตะที่ย้ายทีมทันทีโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทน

 

เรื่องยิ่งแย่ไปกว่านั้นเมื่อซันเดอร์แลนด์แพ้คดีที่เรียกร้องให้อินเตอร์คืนค่ายืมตัว รวมทั้งชดใช้ค่าเหนื่อยที่สโมสรจ่ายให้นักเตะอันเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บ ขณะเดียวกัน อัลวาเรซ ก็ยื่นฟ้องซันเดอร์แลนด์โทษฐานที่ทำให้เขาสูญเสียรายได้ระหว่างที่อยู่กับทีมและซามพ์โดเรีย  

 

ฝั่งซันเดอร์แลนด์ก็ยังไม่หยุด ยื่นเรื่องเรียกร้องค่าเสียหาย 13 ล้านปอนด์จากอดีตแพทย์ประจำสโมสรที่ปล่อยให้นักเตะผ่านการตรวจร่างกาย ซึ่งเมื่อดูจากเปอร์เซ็นต์ที่ทีมแมวดำประสบความสำเร็จในคดีที่เกี่ยวข้องกับ อัลวาเรซ แล้ว บางทีถ้าพวกเขาปล่อยผ่านอาจจะไม่ต้องเสียหายเท่านี้ก็เป็นได้

 

 

2. แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ (กองกลาง)

 

ย้ายจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ไป เชลซี ในปี 2017 ราคา 34.1 ล้านปอนด์

 

ตอนที่เชลซีคว้าตัวดริงค์วอเตอร์ในปี 2017 นั้น เจ้าตัวยังเป็นสมาชิกขาประจำของทีมชาติอังกฤษ รวมทั้งครองตำแหน่งตัวจริงที่เลสเตอร์ หลังจากช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเหลือเชื่อในฤดูกาลก่อนหน้านั้น ซึ่งก็น่าจะเข้ามาเป็นตัวสับเปลี่ยนหมุนเวียนกับกองกลางของสิงโตน้ำเงินครามได้ไม่ยาก แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นไปตามนั้น เนื่องด้วยปัญหาบาดเจ็บทำให้เขาได้ลงเล่นให้ทีมเพียง 22 นัดรวมทุกรายการ และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก อันโตนิโอ คอนเต้ เป็น เมาริซิโอ ซาร์รี่ สถานการณ์ของเขายิ่งแย่ไปกว่าเดิม

 

ดริงค์วอเตอร์ได้เล่นเพียง 1 นัดในยุคซาร์รี่คือเกม คอมมูนิตี้ ชิลด์ และไม่ได้ลงเล่นในสีเสื้อของเชลซีอีกเลย แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงกุนซืออีกครั้งเป็น แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็ตาม ก่อนจะถูกปล่อยให้ เบิร์นลี่ย์ และ แอสตัน วิลล่า ยืมใช้งานในฤดูกาล 2019-2020 ซึ่งชีวิตของเขายิ่งแย่ไปกว่าเดิม ดริงค์วอเตอร์มีเรื่องทะเลาะวิวาทที่ไนท์คลับ ระหว่างถูกเบิร์นลี่ย์ยืมตัว และได้รับบาดเจ็บข้อเท้าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สุดท้ายเจ้าตัวได้ลงเล่นให้ทีมเพียงนัดเดียว ส่วนที่วิลล่าเขาได้ลงเล่นทั้งหมด 4 นัด แต่ก็ไม่ได้ทำผลงานที่น่าประทับใจและมีส่วนทำให้ทีมเสีย 2 ประตูในเกมแพ้ แมนฯ ซิตี้ 6-1 อีกด้วย จากนั้นก็ก่อเหตุเอาหัวโขกเพื่อนร่วมทีมระหว่างซ้อม ทำให้ถูกส่งตัวกลับเชลซีก่อนจบฤดูกาล

 

สถานการณ์ของ ดริงค์วอเตอร์กับเชลซีเกือบจะคล้ายคลึงกับกรณี วินสตัน โบการ์เด้ เพราะนี่คือนักเตะที่ได้ค่าเหนื่อยระดับ 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ที่เก็บเอาไว้ก็มีรังแต่จะส่งผลเสีย ซึ่งคงต้องตามดูกันต่อไปว่าจะมีสโมสรใดกล้าเสี่ยงดึงเจ้าตัวไปใช้งานในอนาคต

 

 

1. อาลี เดีย (กองหน้า)

 

ย้ายไปร่วมทีม เซาธ์แฮมป์ตัน ในปี 1996 แบบไม่มีค่าตัว

 

ในรายชื่อที่ว่ามา คนอื่น ๆ อาจจะส่งผลกระทบทางการเงินหรือผลงานในสนามมากกว่า อาลี เดีย ที่เซ็นเข้ามาแบบไม่มีค่าตัว และลงเล่นเพียงนัดเดียว ไม่มีใครถูกปลดหรือตกชั้นเพราะเขา แต่การลงเล่นนัดแรกและนัดเดียวนี่แหละที่กลายเป็นเรื่องเล่าขานของพรีเมียร์ลีกมาจนถึงปัจจุบัน และไม่มีวันเกิดกรณีซ้ำกันอีกแล้วในอนาคต

 

เรื่องราวการย้ายทีมของเดียเหมือนหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง เริ่มจากมีชายคนหนึ่งโทรหา แกรม ซูเนสส์ ผู้จัดการทีมเซาธ์แฮมป์ตันโดยอ้างว่าเป็น จอร์จ เวอาห์ ตำนานกองหน้าของ เอซี มิลาน ก่อนจะแนะนำให้ทีมเซ็นสัญญากับ เดีย ซึ่งเป็นญาติของเขา พร้อมกับสร้างเรื่องว่าเจ้าตัวเพิ่งยิง 2 ประตูให้ทีมชาติเซเนกัลและเคยเล่นกับเวอาห์ในทีม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ก่อนจะย้ายไปเล่นในดิวิชั่น 2 ของเยอรมนีในปี 1995 ทั้งที่ความจริงแล้วเขาคือนักศึกษาวัย 31 ปี ที่ลงเล่นกับทีมนอกลีกเท่านั้น

 

ซูเนสส์เชื่อสนิทและนำเดียมาทดสอบฝีเท้า ก่อนจะใส่ชื่อเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ลีกกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไม่กี่วันต่อมา เรื่องที่เหลือเชื่อคือ แมตต์ เลอ ทิสซิเอร์ ดาวเด่นประจำทีมดันเกิดอาการบาดเจ็บตั้งแต่ครึ่งแรก และซูเนสส์ตัดสินใจส่งเดียลงสนาม ซึ่งนักเตะกำมะลอได้ลงเล่นถึง 53 นาที ก่อนที่ ซูเนสส์ จะยอมรับว่าตัวเองทำผิดพลาดและเปลี่ยนเดียออกจากสนาม หลังจากนั้นเขาก็กลับไปเล่นกับทีมนอกลีก และไม่กลับมาบนหน้าสื่ออีกเลย

 

แต่ไม่รู้โชคชะตาฟ้าลิขิตหรืออย่างไร เมื่อปัจจุบัน ไซม่อน เดีย ลูกชายของเขา กำลังโลดแล่นอยู่ในไทยลีกกับทีม ชัยนาท ฮอร์นบิล นี่เอง


stadium

author

ไทเกอร์ วืด

StadiumTH Content Creator