stadium

ผลพลอยได้ในวันที่ลีกไทยเริ่มเดินตามรอยยุโรป

16 เมษายน 2563

ผลพลอยได้ในวันที่ลีกไทยเริ่มเดินตามรอยยุโรป

#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย

 

กลายเป็นประเด็นที่เรียกเสียงฮือฮามาต่อเนื่องถึงสองวัน(จนอาจพูดได้ว่ากำลังสะเทือนวงการฟุตบอลทั่วทั้งภูมิภาค) เพราะผลจากที่ประชุมระหว่างสมาคมฯ, บริษัท ไทยลีก จำกัด และบรรดาตัวแทนสโมสรสมาชิกที่มีบทสรุปให้ไทยลีกเลื่อนต่ออีก 4 เดือนและจะกลับมาเตะกันใหม่ในเดือนกันยายนเป็นต้นไป ในขณะที่บอลถ้วยอีกสองรายการก็จะยังคงไว้ ไม่มีรายการไหนต้องถูกแคนเซิลกำลังเป็นที่สนใจให้หลายชาติในอาเซียนต้องหันมามอง  

เหตุที่พวกเขาต้องมองเราเพราะเราถือเป็นชาติแรกในย่านนี้ที่เลือก “พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส” เพราะอย่างที่ทราบกันดีนั่นแหละไม่ว่าจะเป็นวีลีก, เอ็มลีก, เอสลีก หรือแม้แต่อินโดนีเซีย ลีกา วัน ทั้ง 3-4 ลีกที่ว่าล้วนแล้วแต่เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตารางการแข่งขันชนิด “รื้อใหม่” เหมือนอย่างที่ไทยทำ (สื่อหลายสำนักในอาเซียนต่างพร้อมใจกันเล่นข่าวการตัดสินใจของเราในครั้งนี้กันถ้วนหน้า)

 

เอาล่ะ..ไม่ขอพูดถึงว่าพวกเขาพูดถึงเรายังไง? มองกันแบบไหน? แต่สำหรับผู้เขียนนี่ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เพราะอย่างที่เราๆท่านๆทราบกันมาตลอดว่าการลงเล่นในฤดูฝนไม่ว่ามันจะมีซักกี่แมตช์ก็ล้วนแล้วแต่ให้โทษมากกว่าคุณประโยชน์

 

มองในมุมคนทำทีมและตัวนักบอล การลงเล่นบนสนามที่เปียกปอนจากห่าฝนกับปัญหาการระบายน้ำไม่ทันในบางสนามไม่เพียงแต่จะไม่สะท้อนศักยภาพของทีมตัวเองและคู่แข่งออกมาให้ได้ชัด แต่ยังอาจสร้างปัญหาสุ่มเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บของนักเตะซึ่งถือเป็นทรัพย์สินของแต่ละสโมสร

 

มองในมุมของแฟนบอล หากไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้จริงๆ น้อยคนที่จะบากบั่นฟันฝ่าเดินทางไปสนามท่ามกลางสายฝนที่มีทั้งเรื่องของอุปสรรค์ในการเดินทาง, บรรยากาศการเชียร์บอลตากฝน และความไม่สบอารมณ์จากสิ่งที่จะได้พบ(สภาพอัฒจันทร์ที่แฉะ-สกปรก, รูปเกมที่แต่ละฝ่ายเอาแต่สาดโด่ง หรือจะเป็นเรื่องเล็กๆแค่การมองหาที่จอดรถ) ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นตัวขัดอารมณ์

 

นั่นแหละครับ! คือ จุดใหญ่ๆที่ผมมองว่าเรากำลังแก้ได้ถูกจุด และมากไปกว่านั้นหากมองในด้านของโอกาสต่างๆ ของสโมสรไทยและนักเตะไทย ทุกคนก็อาจได้อนิสงค์จากการเลื่อน-ปรับเปลี่ยนชุดโปรแกรมครั้งนี้เพิ่มอีกอย่างน้อยก็2-3อย่าง

 

อย่างแรก คือ โอกาสในการทำผลงานในเวทีแชมเปี้ยนลีกในช่วงออกสตาร์ท  

 

เพราะอย่างที่ทราบแต่ไหนแต่ไรมาโปรแกรมเอซีแอลโดยเฉพาะรอบเพลย์ออฟส่วนใหญ่ที่สโมสรของไทยจะได้ลงเล่น 2 ทีมที่มักรันกันในช่วงที่ลีกบ้านเรากำลังจะเปิดซีซั่นซึ่งใช่ว่าทุกอย่างจะลงตัวและสโมสรจากไทยจะได้เปรียบในการลงเล่นในช่วงเวลานั้น (นักเตะพึ่งกลับมาซ้อมกับทีมได้ไม่นาน, ความฟิตบางคนยังไม่เต็มถัง แถมเรื่องระบบทีมเวิร์คยิ่งไม่ต้องพูดถึง) นั่นคือที่มาที่ในหลายปีมานี้ทีมจากไทยมักทำผลงานออกมากระท่อนกระแท่น  

 

อย่างที่สอง คือ โอกาสของนักเตะไทยในเวทียุโรปที่จะมีมากขึ้น

 

เมื่อวันเปิด-ปิดของลีกไทยเป็นไปในแบบเดียวกับที่ลีกในยุโรปเขาทำกัน นั่นก็หมายความว่าตลาดซื้อ-ขายนักเตะบ้านเรากับทางฝั่งเขาก็จะมีความสอดคล้องต้องกัน และนั่นจะถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักเตะไทยได้ไปเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ในเวทียุโรปได้มากขึ้น

 

ต้องยอมรับว่าหากตลาดซื้อ-ขายของไทยไม่เป็นไปในแบบที่ยุโรปเข้าทำกัน มันก็คงไม่มีสโมสรไหนในยุโรปที่จะกล้าลงทุนเซ็นต์นักเตะบ้านเราให้ไปซ้อมที่นั่นล่วงหน้ายาวๆ 2-3 เดือนเพื่อรอลงทะเบียนสำหรับฤดูกาลใหม่ และในทางกลับกันก็คงเป็นเรื่องยากอีกเช่นกันที่แฟนบอลไทยจะได้เห็นนักเตะดังๆจากยุโรปบินมาค้าแข้งในไทยในเมื่อลีกบ้านเขากำลังหวดกันอย่างเมามัน ดังนั้นการปรับตารางตลาดซื้อ-ขายให้เป็นแบบสากลก็เหมือนการจูนระบบให้เอื้อให้เราได้ประโยชน์ (นักเตะไทยมีโอกาสได้ไปค้าแข้งในยุโรปมากขึ้น อาจไม่ใช่ลีกใหญ่ๆอย่างพรีเมียร์ลีก, เซเรีย อา, ลาลีกา หรือลีกเอิง แต่ลีกรองๆอย่างของฮอลแลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน, ตุรกีและเดนมาร์กก็เป็นตลาดที่เป็นไปได้ในอนาคต)

 

อย่างสุดท้าย คือ ผลผลิตตกสู่ทีมชาติในท้ายที่สุด

 

ผมเคยมีโอกาสได้คุยกับโค้ชฟุตบอลชาวต่างชาติอยู่หลายท่านและก็เคยอ่านเจอเรื่องราวที่โค้ชต่างชาติที่เคยทำงานในไทยมองนักเตะบ้านเรา เชื่อไหมครับว่าส่วนใหญ่ให้คะแนนนักเตะไทยไว้ค่อนข้างดีแถมมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านักเตะไทยมีเทคนิคฟุตบอลที่ดีแต่สิ่งที่ทำให้เราไปได้ไม่ถึงไหนเพราะนักเตะไทยยังไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นในลีกที่มีคุณภาพ

 

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการกันเล่นๆดูซิครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อตลาดซื้อขายนักเตะของไทยเป็นแบบสากลและเกิดการถ่ายเทของจำนวนนักบอลไปมาระหว่างทวีป?  

 

เมื่อนักเตะไทยได้รับโอกาสในลีกยุโรปมากขึ้น ในขณะที่ผู้เล่นต่างชาติที่เล่นในยุโรปก็ค่อยๆทยอยเข้าลีกไทย คุณภาพของลีกบ้านเราก็จะถูกยกขึ้นมา ในขณะที่ตัวเลือกทีมชาติก็จะมีมากขึ้นตาม และนั่นก็จะเท่ากับว่าโอกาสในการทำผลงานของทีมชาติไทยในทัวร์นาเม้นต์ต่างๆของเอเอฟซีและฟีฟ่าทั้งคัดบอลโลกและเอเชี่ยนคัพก็ย่อมที่จะมีโอกาสมากขึ้น ดั่งคำที่มีคนเคยพูดไว้ “เมื่อเรามีวัตถุดิบที่ใช่และหลากหลาย มันก็เป็นเรื่องง่ายที่พ่อครัวจะรังสรรค์ผลงานลงจาน”

นั่นแหละครับคือคร่าวๆสำหรับสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นหลังจากนี้สำหรับวงการฟุตบอลบ้านเรา คงต้องมาจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะพลิกโฉมวงการฟุตบอลไทยและเขย่าวงการฟุตบอลอาเซียนได้มากน้อยแค่ไหน ปลายปีนี้ได้เริ่มรู้กัน..


stadium

author

“akinson149” พงศ์รัตน์ วินัยวัฒนวงศ์

Moderator เพจ thailandsusu (Section: บทความ-แปลข่าวบอลไทย) และคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย

La Vie en Rose