9 เมษายน 2563
ปัญหาศูนย์หน้ากับช่วงเบรคโควิด-19 หรือนี่จะเป็นหนทางสู่ “ออลนิวเวียดนาม” ?
#คุยเฟื่องเรื่องบอลไทย
แม้ว่าโปรแกรมคัดบอลโลกจะถูกเลื่อนออกไปจากพิษโควิด-19 แต่เวียดนาม อีกหนึ่งทีมร่วมสายของไทยก็กำลังเดินหน้าเตรียมทีมอยู่อย่างต่อเนื่อง มีรายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นของพวกเขาเป็นระยะๆว่านายใหญ่ทีมดาวทองกำลังเตรียมรับมือกับปัญหาใหญ่ เมื่อทีมตกอยู่ในสถานการณ์ไร้ศูนย์หน้า (ตามอุดมคติที่ปาร์ค ฮัง ซอพอใจ)
6 แต้มเป็นอย่างน้อยจากสามเกมที่เหลือคือเป้าหมายที่นายใหญ่ทีมดาวทองเล็งไว้เพราะถ้าหากพวกเขาทำได้ย่อมเพียงพอที่จะการันตีตั๋วเข้าสู่รอบ12ทีมสุดท้ายต่อไป(อาจจะไม่ใช่ในฐานะแชมป์กลุ่มแต่ก็เพียงพอให้ได้ไปต่อในฐานะโควต้าอันดับ2ที่ดีที่สุด) นั่นหมายความว่าเกมที่เหลืออยู่ในมือ พวกเขาจำเป็นต้องยิงประตูคู่แข่งให้ได้มากกว่าอย่างน้อยก็ซัก 2 นัด และสวดภาวนาให้ผลการแข่งขันของกลุ่มอื่นๆเป็นใจ
ที่ผมบอกว่าเวียดนามภายใต้สถานการณ์ล่าสุดที่ตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนศูนย์หน้าโดยเฉพาะศูนย์หน้าในอุดมคติของโค้ชปาร์ค ซัง ฮอที่ต้องมีรูปร่างสูงใหญ่, เก็บบอลและไปกับบอลได้ดีและต้องมีสกิลเป็นเพชรฆาตไม่พลาดเป้า สเปคแบบนี้กับสิ่งที่ลีกเวียดนามมีให้ (ที่หลายสโมสรถวิลหาแต่หน้าเป้าต่างชาติ)กำลังเป็นโจทย์ข้อใหญ่ให้โค้ชปาร์ค
แถมสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อเหงียน อัน ดุก ศูนย์หน้าร่างยักษ์ยังประกาศอำลาทีมชาติ ในขณะที่มัค ฮง กวนก็โดนอาการบาดเจ็บเข้าเล่นงานจนต้องพักยาว แม้จะมีเหงียน วาน เทาและเหงียน คอง เฟืองเป็นตัวเสริมเข้ามาแต่สองรายที่ว่าต่างไม่ใช่หน้าเป้าธรรมชาติ (หนักไปทางปีกและหน้าต่ำตัวซัพพอร์ตเสียมากกว่า) ทำให้กุนซือชาวเกาหลีใต้ยิ่งต้องปวดขมับขึ้นไปใหญ่
คำถามที่น่าสนใจและแม้แต่แฟนบอลเวียดนามเองยังสงสัยเหมือนๆกันจึงเกิดขึ้น “ในเมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้กับ 6 แต้มเป็นอย่างน้อยที่พวกเขาต้องการ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ?”
แม้ว่าที่ผ่านมาเวียดนามจะเป็นทีมที่มักได้ประตูจากนักเตะในแดนกลางเสียส่วนใหญ่ นั่นเพราะระบบการเล่นที่พวกเขาเล่นอัดมิดฟิลด์ไว้แน่นเต็มสนาม แถมยัง “รับรอโต้” ชนิดกึ่งรถบัส แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าในหลายๆนัดตัวชี้ขาดระหว่างคำว่าเสมอกับชนะมันมักจะมาจากศูนย์หน้าอยู่เหมือนกัน (3ใน7เกมที่พวกเขาเล่นเมื่อปีที่แล้วมีการได้ประตูจากศูนย์หน้า และ2จาก3เกมที่ว่าคือประตูโทนที่ชี้ขาดผลแพ้-ชนะ)
บางทีเจ้าโมเดล 5-4-1 ที่พวกเขาชอบใช้อยู่เป็นประจำอาจต้องถูกรีเจนเนอร์เรชั่นใหม่ เผลอๆดีไม่ดีนายใหญ่ทีมดาวทองในเวลานี้ก็อาจกำลังเตรียมพิจราณาปรับเปลี่ยนไปใช้เป็น 3-6-1, 3-2-4-1 หรือจะ 4-6-0 (False Nine) แบบที่ไทยเคยใช้ก็อาจจะเป็นไปได้ (เพราะฟังจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โค้ชปาร์คเองก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาแผนการเล่นใหม่ที่เหมาะสมและกำลังทบทวนลิสต์ศูนย์หน้าที่เขามีอยู่เช่นกัน)
เพียงแต่แบบแรกดูจะเป็นเรื่องที่โค้ชปาร์คน่าจะเลือกทำเสียมากกว่า เพราะลีกเวียดนามถูกเลื่อนออกไปจากพิษโควิด-19 ย่อมเท่ากับว่าตัวเขาจะมีแมตช์ส่องศูนย์หน้าไม่มากพอ และก็เป็นไปได้อย่างมากว่าแม้ทีมงานของโค้ชปาร์คจะได้ศูนย์หน้ารายใหม่ติดทีมเข้ามาพวกเขาก็อาจเลือกที่จะไม่เสี่ยงวัดดวงกับศูนย์หน้ารายนั้นในเกมที่สำคัญๆแบบนี้ (เห็นได้จากการเรียกฮา มินต์ ตวน ศูนย์หน้าจากกวางนัมเข้ามาแต่ยังไม่ส่งเจ้าตัวลงสนามซักที)
และแม้จะมีเหงียน วาน เควียต ศูนย์หน้าฝีเท้าดีที่กำลังทำผลงานได้ดีกับต้นสังกัด แต่จากท่าทีของโค้ชปาร์คที่มีต่อนักเตะรายนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าสามเกมในคัดบอลโลกที่เหลือ โค้ชปาร์คจะไม่เรียกใช้บริการ
“ผมถือว่าแมตช์กับมาเลย์เป็นแมตช์ที่หนักมากสำหรับเรา เพราะคู่แข่งกำลังได้ใจ, มีความแข็งแกร่ง และแน่นอนพวกเขาได้เล่นในบ้าน หากพวกเราสามารถบุกไปชนะพวกเขาได้ นั่นจะทำให้ทีมของเรายังคงรักษาตำแหน่งหัวตารางอยู่ต่อไปและประตูสำหรับรอบ12ทีมสุดท้ายก็จะยิ่งเปิดกว้าง ผมไม่คิดถึงผลการแข่งขันอื่นและทีมของเราจะไปที่นั่นเพื่อทำทุกอย่างให้ได้สามแต้มกลับออกมา” นายใหญ่ชาวเกาหลีใต้กล่าว
น่าสนใจว่าทัพดาวทองจะทำอย่างไรในเกมเยือนบูกิตจาลิล ท่ามกลางบรรยากาศ “นรกทีมเยือน” และท่ามกลางสถานการณ์ขาดแคลนศูนย์หน้า บางทีโควิด-19 ที่ส่งผลให้บรรดาโค้ชฟุตบอลจากทั่วทุกมุมโลกได้มีโอกาสพักนั่งทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมา บางทีอาจนำมาซึ่งแผนการเล่นใหม่ๆ, ยุทธวิธีใหม่ๆ หรืออาจเป็นการเปลี่ยนโฉมทีมที่เขาทำอยู่แบบ “ออลนิว” ไปเลยก็เป็นไปได้
แล้วเวียดนามล่ะ..เอาไงดีครับโค้ชปาร์ค?
TAG ที่เกี่ยวข้อง