2 กันยายน 2563
ทัพนักกีฬาของญี่ปุ่นถือว่าแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่มีการแข่งขันกีฬามวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะใน โตเกียวโอลิมปิก 2020 ที่มีความเป็นไปได้ว่าประเทศญี่ปุ่นน่าจะทุบสถิติจำนวนเหรียญรางวัลในกีฬาโอลิมปิกได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกันนับตั้งแต่ โอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงปักกิ่งปี 2008
โดยสถาบัน Gracenote ซึ่งเป็นบริษัทเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศหรือที่เรียกกันว่า metadata เป็นผู้วิเคราะห์และเปิดเผยว่าทัพนักกีฬาของญี่ปุ่นอาจคว้าเหรียญรางวัลมากกว่าที่ ริโอเกมส์ 2016 ถึง 50% ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ทัพนักกีฬารัสเซีย โดนแบนจากคดีใช้สารกระตุ้นต้องห้าม
ญี่ปุ่นคือชาติที่มีการพัฒนาด้านกีฬาอย่างต่อเนื่อง
อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่าทีมชาติญี่ปุ่นมีจำนวนเหรียญรางวัลเพิ่มมาอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมาในเวทีระดับโลก ย้อนไปเมื่อปี 2008 ที่ปักกิ่งเกมส์ ญี่ปุ่นจบในอันดับ 9 ของตารางเหรียญรางวัล โดยมีเหรียญทองไม่ถึงเลขสองหลักแถมจำนวนเหรียญรวมกันแค่ 25 เหรียญตามหลังทีมชาติเกาหลีใต้ถึง 7 เหรียญด้วยกัน
ต่อมาในปี 2012 ญี่ปุ่นตกไปอยู่ในอันดับ 11 ของตารางเหรียญรางวัล แต่มีจำนวนเหรียญรวมเพิ่มมาเป็น 38 เหรียญ (อันดับในตารางนับจากจำนวนเหรียญทองก่อน) จนมาถึง โอลิมปิกเกมส์ หนล่าสุดที่นครริโอ เด จาเนโร เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีที่ทัพนักกีฬาญี่ปุ่นจบด้วยจำนวนเหรียญทองเกินเลขสองหลัก พวกเขาอยู่ในอันดับที่ 6 มี 12 เหรียญทอง 8 เหรียญเงินและ 21 เหรียญทองแดง และจบด้วยเหรียญรางวัลรวม 41 เหรียญ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
อาจจบด้วยอันดับที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์แต่ไม่สามารถล้มจีนได้
ตามที่สถาบัน Gracenote ได้วิเคราะห์ว่าญี่ปุ่นจะได้เหรียญเพิ่มจากเดิมประมาณ 50% ตีเป็นเลขกลมๆ เท่ากับทัพนักกีฬาแดนอาทิตย์อุทัยจะจบด้วยเหรียญรวมทั้งหมด 61 เหรียญซึ่งเพียงพอต่อการจบด้วยอันดับ 3 และจะเป็นอันดับสูงสุดที่ญี่ปุ่นเคยทำได้ตั้งแต่เข้าร่วมการแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ อย่างไรก็ตามจำนวนดังกล่าวก็ไม่น่าเพียงพอต่อการล้มชาติมหาอำนาจอย่างจีนได้
ส่วนอันดับ 1 นั้นไม่มีทางเป็นชาติอื่นใดนอกจากสหรัฐอเมริกาไปได้ ทัพนักกีฬามะกันมีค่าเฉลี่ยเหรียญรวมอยู่ที่ 100 เหรียญและชาติเดียวที่เคยเอาชนะสหรัฐฯ ได้คือทีมชาติจีนนี่เอง ซึ่งครั้งเดียวนั้นคือในการแข่งขันที่ ปักกิ่งเกมส์ปี 2008
Gracenote วิเคราะห์ว่าสหรัฐอเมริกาจะจบ โตเกียวโอลิมปิกเกมส์ ด้วยการมีเหรียญรวมมากที่สุดสมัยที่ 7 ติดต่อกันและน่าจะทำได้ถึง 47 เหรียญทองและมีเหรียญรางวัลรวม 117 เหรียญที่กรุงโตเกียว ในขณะที่ชาติคู่แข่งอย่างทีมชาติจีนซึ่งในโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่ริโอ เด จาเนโร ทัพ “มังกรแดง” หล่นไปอยู่ในอันดับ 3 จะกลับมารั้งอันดับ 2 ในตารางเหรียญรวมอีกครั้ง โดยคาดว่าน่าจะคว้าไป 40 ทองและมีเหรียญรวมที่ 70 เหรียญ ส่วนสหราชอาณาจักรที่โอลิมปิกหนก่อนหน้านี้จบด้วยอันดับ 2 น่าจะหลุดวงโคจร 5 อันดับแรกด้วยกีฬาที่คาดว่าอาจจะต้องเสียอันดับโพเดี้ยมให้ชาติคู่แข่งสำคัญอื่นๆ เช่นจักรยานทางไกล, ยิมนาสติก และเรือพาย
ญี่ปุ่นคาดหวังกับกีฬาที่เพิ่มเข้ามาใหม่และความคุ้นเคยในสนามแข่งขัน
ค่อนข้างโชคดีที่รายการโอลิมปิกเกมส์มีมาตรฐานสูงในเรื่องการตัดสินและความโปร่งใส ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจ้าภาพจะเพิ่มกีฬาหรือลดเหรียญในกีฬาที่ตัวเองไม่ถนัด กีฬาที่จะกลับมาแข่งและกีฬาที่เพิ่มเข้ามาใหม่จะต้องได้รับการยินยอมและผ่านการรับรองจากบอร์ดของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลหรือ IOC ซึ่งปัจจุบันมี 5 กีฬาที่ทาง IOC รับรองให้เป็นกีฬาใหม่ในการแข่งขันครั้งนี้
เดิมนั้นในการประชุมของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลครั้งที่ 125 ที่ประเทศอาร์เจนติน่าเมื่อปี 2013 ได้มีการเสนอกีฬาใหม่เข้าพิจารณาจำนวน 8 ชนิดกีฬาด้วยกัน แต่เมื่อมาถึงวันที่ลงมติครั้งสุดท้ายในปี 2016 จึงเหลือกีฬาที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลให้การรับรองเป็นกีฬาใหม่ใน โตเกียวโอลิมปิก 2020 จำนวน 5 ชนิดกีฬาประกอบด้วย
5 กีฬาที่ว่าไปนั้นมีจำนวนให้ชิงชัยกันถึง 18 เหรียญทองและมีความเป็นไปได้ที่เจ้าภาพอย่างญี่ปุ่นอาจเก็บได้เกือบครึ่งหนึ่ง หลายกีฬาเช่นเบสบอลและซอฟท์บอลที่ชิงกันอย่างละ 1 เหรียญทอง (ผู้หญิงจะแข่งขันในประเภทซอฟท์บอลซึ่งมีกติกาคล้ายเบสบอล) ญี่ปุ่นนั้นรั้งอันดับ 1 ของโลกอยู่เหนือต้นตำรับอย่างสหรัฐอเมริกาเสียอีก นอกจากนี้กีฬาคาราเต้ที่มีต้นกำเนิดในญี่ปุ่นก็มีแข่งขันถึง 8 เหรียญ นี่ยังไม่รวมกีฬาสเก็ตบอร์ดที่ญี่ปุ่นมีโอกาสกวาดหมดทั้ง 4 เหรียญ ด้วยจำนวนเหรียญดังกล่าวจึงมีความเป็นไปได้ที่ทัพนักกีฬาเจ้าภาพอาจทำได้ถึง 20 เหรียญทองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก็ต้องมาดูกันว่า โอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงโตเกียว กลางปี 2021 ประเทศญี่ปุ่นจะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าจากความได้เปรียบดังกล่าวหรือไม่
TAG ที่เกี่ยวข้อง