26 สิงหาคม 2563
ตลอดระยะเวลาการลงเล่นกับ บาร์เซโลน่า มา 15 ฤดูกาลเต็ม ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะที่ได้รับการยกย่องว่า "เก่งที่สุดในโลก" สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซไว้มากมาย หลายนัดมีความหมายมากมายมหาศาล และหลายนัดยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลไม่เสื่อมคลาย
634 คือจำนวนประตูที่เขาทำได้ในเสื้อสีเลือดหมู-น้ำเงิน จากการลงเล่น 731 นัด พร้อมกับความสำเร็จที่ยาวเป็นหางว่าว ทั้งแชมป์ ลา ลีกา 10 สมัย, โกปา เดล เรย์ 6 สมัย, สแปนิช ซูเปอร์ คัพ 8 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 สมัย, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 3 สมัย ยังไม่รวมความสำเร็จส่วนตัวอย่าง บัลลงดอร์ 6 สมัย เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล
แล้วแมตช์ไหนที่ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ทำผลงานได้ดีที่สุดให้กับทีมยักษ์ใหญ่ของสเปน ไปติดตามได้กับ 10 สุดยอดแมตช์ของเมสซี่กับ บาร์เซโลน่า
บาร์เซโลน่า 3-3 เรอัล มาดริด (10 มี.ค. 2007)
เป็นแมตช์ที่ว่ากันว่าทำให้ เมสซี่ แจ้งเกิดต่อสายตาทั่วโลก จากการลงเล่นศึก เอล กลาซิโก้ เมื่อปี 2007 เรอัล มาดริด ขึ้นนำถึง 3 ครั้ง 3 ครา แต่ เมสซี่ ที่อายุเพียง 19 ปีในตอนนั้น ทำประตูไล่ตามตีเสมอได้ทุกครั้ง รวมถึงลูกยิงแบ่งแต้มช่วงทดเวลา กลายเป็นแฮตทริกแรกในอาชีพของเมสซี่อีกด้วย
บาร์เซโลน่า 5-2 เกตาเฟ่ (18 เม.ย. 2007)
ไฮไลต์ศึก โกปา เดล เรย์ รอบรองชนะเลิศเกมนี้น่าจะเป็นหนึ่งในนัดที่ผู้คนเข้าไปดูย้อนหลังมากที่สุด เพื่อชมการทำประตูที่ดีที่สุดในอาชีพของ เมสซี่ จากจังหวะที่เจ้าตัวได้บอลบริเวณเส้นกลางสนาม ก่อนเลี้ยงหลบผู้เล่นฝั่งตรงข้ามถึง 5 คนรวมผู้รักษาประตู ก่อนยิงเข้าไปให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ซึ่งนอกจากจะทำประตูสุดมหัศจรรย์ได้แล้ว เมสซี่ยังยิงอีก 1 ประตูและทำอีก 1 แอสซิสต์
บาร์เซโลน่า 4-1 อาร์เซน่อล (6 เม.ย. 2010)
เกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ ยอดผู้จัดการทีมของ อาร์เซน่อล ถึงกับบอกว่า เมสซี่ เหมือนเป็นนักเตะที่หลุดออกมาจากเกมเพลย์สเตชั่น หลังจากโดนดาวเตะอาร์เจนไตน์ยิง 4 ประตู พาทีมเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 6-3 ซึ่งใน 4 ประตูที่ทำได้มีทั้งลูกยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษ และลูกชิพข้ามหัว มานูเอล อัลมูเนีย อย่างเหนือชั้นอีกด้วย ขณะเดียวกันฟอร์มของเจ้าตัวในเกมนี้ถึงกับทำให้ เลกิ๊ป ให้คะแนนความสามารถ 10 เต็ม 10 ซึ่งก่อนหน้านั้นมีนักเตะเพียง 4 คนที่ได้คะแนนระดับนี้จากนิตยสารฟุตบอลชื่อดังของฝรั่งเศส
เรอัล มาดริด 0-2 บาร์เซโลน่า (27 เม.ย. 2011)
เกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อปี 2011 ต้องติดโผนี้มาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นอีกครั้งที่ เมสซี่ โชว์ฟอร์มเป็นพระเอกใน เอล กลาซิโก้ หนนี้เจ้าตัวเหมาคนเดียว 2 ประตู เริ่มจากลูกเข้าฮอสระยะเผาขนในช่วง 15 นาทีสุดท้ายให้ทีมขึ้นนำ ตามด้วยการโซโล่เดี่ยวระยะ 30 หลาฝ่าแข้งราชันชุดขาว ต่อหน้าต่อตาแฟนบอลในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ก่อนยิงผ่านมือ อิเกร์ กาซิยาส เป็นประตูย้ำชัย พร้อมทำให้ทีมเพิ่มความได้เปรียบก่อนไปเล่นนัดที่สองในบ้านของตัวเอง (บาร์ซ่าเข้ารอบชิงฯ ด้วยสกอร์รวม 3-1)
บาร์เซโลน่า 3-1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (28 พ.ค. 2011)
หลังเอาชนะ เรอัล มาดริด มาได้ บาร์เซโลน่า ก็ต้องมาเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2011 และก็เป็น เมสซี่ ที่คว้าบทเด่นไปครองอีกครั้ง หลังสร้างความปั่นป่วนให้กับทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตลอดทั้งเกม ก่อนยิง 1 ประตูช่วยให้ บาร์ซ่า ยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คว้าถ้วยใบใหญ่ของยุโรปเป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี
บาร์เซโลน่า 3-2 เรอัล มาดริด (17 ส.ค. 2011)
เป็นอีกครั้งที่ เมสซี่ เป็นตัวแสบของราชันชุดขาว หลังจากคว้าผลเสมอ 2-2 กลับมาจากเบร์นาเบวแบบเกือบชนะ ซึ่งเมสซี่มีส่วนกับทั้ง 2 ประตู ในศึกชิงถ้วย สแปนิช ซูเปอร์ คัพ นัดที่ 2 ที่สนามคัมป์ นู เมสซี่โชว์ความมหัศจรรย์ของเขาให้เห็นอีกครั้ง เริ่มจากแอสซิสต์ให้ อันเดรียส อิเนียสต้า หลุดเข้าไปชิพผ่าน อิเกร์ กาซิยาส ก่อนจะยิงเองอีก 2 ลูก โดยเฉพาะลูกสุดท้ายที่เป็นการยิงประตูชัยในนาทีที่ 88 ให้ทีมคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ
บาร์เซโลน่า 7-1 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น (7 มี.ค. 2012)
เกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดที่ 2 เมสซี่สร้างสถิติโลกตะลึงด้วยการเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ถึง 5 ประตูในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดเดียว หลังจากเป็นดาวเด่นในเกมที่ต้นสังกัดถล่มเลเวอร์คูเซ่นถึง 7-1 และเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศด้วยสกอร์รม 10-2 โดยทั้ง 5 ประตูที่ทำได้มีรูปแบบการเข้าทำที่แทบไม่ซ้ำกันเลย มีทั้งชิพข้ามผู้รักษาประตูด้วยเท้าซ้าย, เลี้ยงลุยเข้าเขตโทษก่อนยิงเสียบมุม, ชิพด้วยเท้าขวา, เก็บตกลูกส้มหล่นจากผู้รักษาประตู และยิงไกลจากนอกเขตโทษ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยฟอร์มระดับนี้ทำให้เมสซี่ได้คะแนนความสามารถ 10 เต็ม 10 จากเลกิ๊ปเป็นหนที่สอง และเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำได้สำเร็จ
บาร์เซโลน่า 3-0 บาเยิร์น มิวนิค (6 พ.ค. 2015)
เกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก กับ บาเยิร์น ในปี 2015 เมสซี่ทำให้กองหลังระดับแชมป์โลกอย่าง เยโรม บัวเต็ง ต้องโดนล้อมาจนถึงทุกวันนี้ โดยหลังจากยิงไกลให้ทีมขึ้นนำในนาทีที่ 77 แล้ว 3 นาทีต่อมา เมสซี่ ก็โยกหลอกจนบัวเต็งหัวทิ่มลงไปนอนกับพื้น ก่อนจะชิพบอลข้ามหัว มานูเอล นอยเออร์ นายทวารระดับแชมป์โลกเข้าประตูไปอย่างเหนือชั้น และปิดท้ายด้วยการจ่ายบอลให้ เนย์มาร์ หลุดเดี่ยวไปยิงประตูย้ำชัย กุมความได้เปรียบก่อนไปเล่นนัดที่สองที่บ้านของบาเยิร์น ซึ่งบาร์ซ่าผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศและเอาชนะยูเวนตุสคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
เรอัล มาดริด 2-3 บาร์เซโลน่า (23 เม.ย. 2017)
เกม ลา ลีกา นัด เอล กลาซิโก้ ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว คือหนึ่งในเกมที่ดุเดือดที่สุดเกมหนึ่งของเมสซี่ หลังจากต้นสังกัดต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน ขณะที่ตัวเขาเองก็โดนศอกของมาร์เซโล่จนถึงกับเลือดตกยางออก เมสซี่ตอบโต้ด้วยการทำ 2 ประตูให้ทีมพลิกกลับมาชนะ 3-2 และในประตูสุดท้ายที่เจ้าตัวทำได้ในช่วงทดเวลานั้น เมสซี่ฉลองประตูด้วยการชูเสื้อของตัวเองเย้ยกองเชียร์ชันชุดขาวซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอลเลยทีเดียว
บาร์เซโลน่า 5-1 เรอัล บายาโดลิด (29 ตุลาคม 2019)
หนึ่งในเกมที่เมสซี่ปล่อยของออกมาแบบครบเครื่อง หลังจากที่สกอร์เสมอกัน 1-1 ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ก็ระเบิดฟอร์มทำ 2 แอสซิสต์สุดสวย และยิงเองอีก 2 ประตูซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการยิงฟรีคิกที่เข้าขั้นสมบูรณ์แบบ และเป็นการยิงฟรีคิกเข้าลูกที่ 50 ในอาชีพ พร้อมกับช่วยให้ทีมกลับไปเป็นจ่าฝูงของ ลา ลีกา