31 มีนาคม 2563
ชีวิตคนเราย่อมมีปัญหาให้แก้ไขกันอยู่เสมอ หลีกหนีไม่ได้คล้ายๆเป็นบททดสอบในชีวิตที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้น ซึ่งแต่ละคนนั้นก็มีวิธีแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันไป
“มิ้นต์” อารีย์ณัฎฐา ชวตานนท์ นักกีฬาขี่ม้าสาวทีมชาติไทย เป็นอีกหนึ่งคนที่ชีวิตมีปัญหาและอุปสรรคถาโถมเข้ามาในชีวิตแบบไม่ได้หยุดพัก แต่เธอก็ฝ่ามาได้ตลอดจนวันนี้เธอกลายเป็น 1 ใน 3 นักกีฬาขี่ม้า ประเภททีมอีเว้นท์ติ้ง ที่ได้ไปโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น สิ่งสำคัญที่ทำให้หญิงสาวร่างบางคนนี้ฝ่าฟันเรื่องที่บั่นทอนจิตใจมาได้ตลอด ก็คือทัศนคติที่ทรงพลังที่ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องร้ายๆใด ก็ไม่คิดจะยอมแพ้ หรือโทษใคร ยอมรับและเรียนรู้ เพื่อผลักดันตัวเองไปข้างหน้าอยู่เสมอ
เริ่มต้นช้าไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้
มิ้นต์ มาเริ่มต้นเล่นกีฬาขี่ม้าเมื่อปี 2007 ตอนอายุ 15 ปี ซึ่งถือว่าช้ามากๆเมื่อเทียบคนอื่นๆ เพราะนักกีฬาส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นเล่นกีฬาตอนอายุยังน้อย บางคน 4-5 ขวบ แต่ว่าหลังจากนั้น 3 ปี มิ้นต์ ก็ผลักดันตัวเองทุกอย่างจนคัดตัวติดเป็นนักกีฬาทีมชาติชุดลุยศึกซีเกมส์ 2011 ที่อินโดนีเซีย ครั้งนั้นเธอทำผลงานได้ ซึ่งพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าแม้จะเริ่มต้นเส้นทางนักกีฬาช้าแต่ว่าเธอก็ทำได้ดีไม่แพ้คนอื่นๆ
“กว่าจะมาเป็นทีมชาติก็ซ้อมเยอะอยู่ค่ะ เพราะมิ้นต์รู้ตัวเองดีว่าเราเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มิ้นต์ทำได้อย่างเดียว ก็คือการซ้อมให้มากกว่าคน พยายามให้มากกว่าคนอื่น เท่าที่เราจะทำได้”
ประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำ
อ่านดูแล้วเส้นทางการเป็นนักกีฬาของเธอคนนี้อาจดูสวยหรู เพราะใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นก็ติดทีมชาติได้แล้ว แต่ทว่าเบื้องหลังในการคัดตัวนักกีฬาปีนั้น มิ้นต์ ต้องเจอกับเหตุการณ์ที่เกือบทำให้เลิกเล่นได้เลย
“ช่วงคัดตัวนักกีฬาไปซีเกมส์ 2011 ตอนนั้นมิ้นต์ยังใหม่มาก อายุ 18 เองค่ะ แต่หนูก็พยายามศึกษากฎกติกาต่างๆ ปรึกษาคุณหมอแล้วเข้าใจว่าสามารถนวดผ่อนคลายม้าก่อนแข่งได้ แต่พอมิ้นต์กำลังจะนวด ก็มีคนเฝ้าคอกม้าเดินมาบอกว่าทำไม่ได้มันผิดกฎ เขาจึงไปแจ้งกรรมการ แล้วกรรมการก็แจกใบเหลืองให้กับมิ้นต์ ซึ่งใบเหลืองสำหรับขี่ม้าเป็นการเตือนที่รุนแรงมาก เพราะถ้าโดนใบแดงก็จะโดนแบนได้เลย ถือเป็นประสบการณ์สำหรับหนูที่จำไม่เคยลืมเลย”
โชคชะตาเล่นตลก จนขำไม่ออก
โชคดีที่บทลงโทษในวันนั้นเป็นแค่ใบเหลือง ทำให้เธอสามารถแข่งขันต่อได้และผ่านการคัดเลือกเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย ในตอนนั้นเธอเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าเส้นทางที่เธอเลือกนั้นสามารถไปต่อได้ เธอเริ่มวางเป้าหมายให้ตัวเองไปไกลถึงเอเชียนเกมส์ 2014 ที่เกาหลีใต้ , โอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่บราซิล และ โอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่น
ในปี 2013 เธอแจ้งเกิดได้ในเวทีระดับทวีปเป็นครั้งแรก ด้วยผลงาน 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน ในศึกชิงแชมป์เอเชีย แต่เหมือนโชคชะตาชอบเล่นตลกกับคนเริ่มจะไปได้ไกล หลังแข่งจบในวันนั้นม้าของเธอกลับถูกพบว่ามีฮอร์โมนสูงผิดปกติ ทำให้เธอถูกแบนห้ามเกี่ยวข้องการแข่งขันกีฬาขี่ม้าในทุกรายการทุกระดับ
สำหรับ มิ้นต์ แล้วเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจยอมรับได้ เพราะตลอดเวลาเธอคอยดูแลเอาใจใส่ม้าที่เธอรักเป็นอย่างดี โดยไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แม้ว่าจะมีการจ้างทนายชื่อดังระดับโลกในวงการขี่ม้า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำตัดสินได้ ทำให้เธอได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิดหวังที่เกิดขึ้น
“มันเป็นความรู้สึกที่เฟลมากค่ะ เสียใจมาก แต่ไม่ร้องไห้นะ ช่วงนั้นคือเราตัดขาดตัวเองจากขี่ม้าเลย ไม่ดูข่าว ไม่ดูแข่ง เพราะไม่อยาดรับรู้เลย เพราะถ้าเห็นแล้วมันอยากกลับไปขี่ม้า เลยปิดตัวเองออกจากวงการไปเลย”
มิ้นต์ โดนแบนไป 2 ปี ในช่วงปลายปี 2013 – 2015 ทำให้ความฝันที่จะไปเอเชียนเกมส์ 2014 ที่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ต้องสลายไป เธอใช้เวลาในช่วงนั้นไปเก็บตัวฝึกซ้อมอยู่ที่ประเทศเยอรมัน เพื่อรอวันเวลาที่จะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
“สำหรับหนูแล้วเวลาอยากจะได้อะไรสักอย่าง จะต้องทำให้เต็มที่มากสุด ใช้ความพยายาม อดทน ฝึกฝน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันสอนให้เรารู้จักยอมรับในเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ คือเราไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ มิ้นต์ ทำได้ ณ ตอนนั้น คือรอวันที่จะได้กลับเข้าสู่สนามแข่งอีกครั้ง”
พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง
แม้ว่าจะร้างสนามไปนานถึง 2 ปี แต่เธอก็ก้มตาก้มตาซ้อมด้วยความมุ่งมั่น ซีเกมส์ 2017 เป็นครั้งแรกที่ มิ้นต์ ได้กลับแข่งขันในนามทีมชาติอีกครั้ง และสามารถคว้ามาได้ 1 เหรียญเงิน แม้จะไม่ใช่ที่ 1 แต่เหรียญนี้ก็พอจะเยียวยาบาดแผลในใจเธอได้ไม่น้อย
1 ปีให้หลัง เธอยังคงมีชื่อติดชาติไทยไปลุยเอเชียนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย หนนี้เธอเป็นกำลังสำคัญของทีมในการคว้าเหรียญรางวัลครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งในท้ายที่สุดทัพขี่ม้าไทยก็ทำผลงานได้ 2 เหรียญทองแดง จากประเภทศิลปะการบังคับม้า และประเภททีมอีเว้นท์ติ้ง และทั้ง 2 ประเภทนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสามารถของเธอ
ฮึดต่อเฮือกสุดท้ายเพื่อโอลิมปิกแห่งความฝัน
หลังจากพ้นโทษแบนแข่งได้ตามปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในใจ มิ้นต์ มาตลอดมันคือความกลัวที่จะผิดหวังซ้ำสองจากเรื่องไม่สามาถควบคุมได้ ราวกับว่ามันเป็นปมในใจไปเสียแล้ว ซี่งมันทำให้เธอไม่กล้าคิดกล้าฝันไปเลยในช่วงเวลานั้น
หลังจบเอเชียนเกมส์ มิ้นต์ ได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมทีมขี่ม้าอีเว้นท์ติ้ง เพื่อทำการควอลิฟายโอลิมปิก 2020 เธอตกปากรับคำชวนนั้นทั้งที่ในใจยังคงความผิดหวัง
“ตอนตั้งรวมทีมเพื่อไปคัดโอลิมปิก บอกตรงๆว่าตอนนั้นหนูสับสน ใจก็กลัวจะผิดหวังไม่ได้เหมือนตอนเอเชียนเกมส์ 2014 แต่จากที่ได้พูดคุยกับคนในทีม ทุกคนมีความฝันเหมือนกันอยากไปโอลิมปิก หนูก็เลยตอบตกลงไป แต่คิดในใจว่าแค่ไปช่วยเฉยๆ เพราะไม่อยากเฟลอีก หลังจากนั้นก็พยายามเปลี่ยนวิธีคิด โดยมองไปทีละก้าวแทน ไม่ตั้งความหวังไว้อีกแล้วว่าต้องทำให้ได้ ต้องไปให้ได้ เพราะถ้าเราทำดีเราก็จะได้โอลิมปิกเอง พยายามไม่คิดมาก”
อ่านเส้นทางขี่ม้าไทยคัดไปโอลิมปิก 2020 ได้ที่นี่
แม้เส้นทางจะเหนื่อยหนักชนิดที่เลือดตาแทบกระเด็น สุดท้ายแล้วมิ้นต์กับทีมก็ฝ่าฟันกันจนได้ไปโอลิมปิก 2020 ดูเหมือนกราฟชีวิตของ มิ้นต์ กำลังพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เหมือนเมื่อ 10 ปี ก่อนช่วงที่คัดตัวติดทีมชาติใหม่ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้ง แต่หนนี้เล่นเอาเธอเจ็บทั้งกายและใจเลยทีเดียว
ครบรอบ 10 ปี ชีวิตที่หนีไม่พ้นจากเรื่องร้ายๆ
หลังจากควอลิฟายผ่านโอลิมปิกเกมส์แล้ว มิ้นต์และทีม กำลังอยู่ในช่วงซ้อมและออกรอบควอลิฟายม้าตัวที่ 2 ให้ผ่านเกณฑ์ เพื่อรองรับกรณีที่ม้าตัวหลักเจ็บป่วยกะทันหันก่อนไปแข่ง แต่สิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็เกิดขึ้น มิ้นต์ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้หัวเข่าซ้ายแตกละเอียดรวมไปถึงข้อเท้าขวาของเธอด้วย
“พอมาถึงโรงพยาบาล ก็รีบโทรบอกเทรนเนอร์(โค้ชที่คอยดูแลม้าที่ฝรั่งเศส) ก่อนเลยว่าเกิดอะไร ร้องไห้เสียใจค่ะ พยายามคิดว่าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้หายทันโอลิมปิก โค้ชก็บอกว่าให้รักษาตัวไป ส่วนม้าโค้ชจะดูแลให้เอง แต่สิ่งที่เรากลัว ก็คือว่าเราจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ความฝันของทุกคนหายไป ตอนนั้นก็คิดอย่างเดียวว่ายังไงก็ต้องกลับมาให้ได้ จะฟิตมากฟิตน้อยไม่เป็นไร ขอแค่ไปแข่งให้ได้ก็พอ”
เชื่อมั่นในตัว อย่ากลัวที่จะลงมือทำ มายด์เซ็ตที่ทรงพลัง
ปัจจุบัน มิ้นต์ ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ โฟกัสอยู่กับการทำกายภาพบำบัดทุกๆเช้าเธอจะต้องตื่นขึ้นมายืดขางอขาและเริ่มฝึกเดินทีละเล็กละน้อย เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ส่วนในช่วงบ่ายเธอก็จะเริ่มฝึกกล้ามเนื้อขา ขณะที่ก่อนนอนมีวิดพื้นและซิทอัพบ้าง คือทำทุกอย่างเพื่อให้ไปโอลิมปิกเกมส์ให้ได้
“ถามมาว่ามันเหนื่อยมันท้อไหม มันก็มีค่ะ ยิ่งสิ่งที่หนูเจอมาตลอด 10 ปี ไม่มีวันไหนไม่เหนื่อยเลย คือมันแทบจะไม่ได้หยุกพักเลยค่ะ พอชีวิตเริ่มจะดีขึ้น อย่างตอนเริ่มติดทีมชาติก็มาโดนแบน พอได้ไปโอลิมปิกรถก็มาชนอีก ทั้งๆที่กว่าจะควอลิฟายได้นี่เลือดตาแทบกระเด็นกันทุกคน แต่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับหนู ทุกครั้งหนูจะไม่โทษใคร แต่จะเก็บเอามาเป็นประสบการณ์และคอยเรียนรู้ และทำมันให้ดีกว่า คือหนูมองว่ามันเป็นเหมือนบททดในชีวิตที่ทุกคนต้องเจอ เพียงแต่สิ่งที่หนูเจอมันอาจจะหนักหลายๆคน ซึ่งมันก็ทำให้หนูได้เรียนรู้และโตขึ้นมาก ”
“หนูรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญก็คือตัวเอง ความคิดตัวเอง ถ้าเรากลัว เราท้อ คิดแต่ในแง่ลบ มันก็จะบั่นทอนจิตใจเราเองมันก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ถ้าเราเอาชนะความกลัว เอาชนะความคิดตัวเองได้ หนูว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว คอยเก็บมาเป็นประสบการณ์” อารีย์ณัฎฐา ชวตานนท์ นักขี่ม้าสาวทีมชาติไทย กล่าวทิ้งท้าย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
TAG ที่เกี่ยวข้อง