ซิดนีย์ 2000 โอลิมปิกที่มีนักว่ายน้ำไทยเข้าร่วมมากที่สุด

ตั้งแต่มีการจัดแข่งว่ายน้ำในโอลิมปิก เกมส์ ประเทศไทยส่งนักว่ายน้ำเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 9 ครั้ง และมี 5 ครั้งจากจำนวนทั้งหมด 9 ครั้ง ที่เราส่งนักว่ายน้ำเข้าร่วมเพียง 2 คน ช่วงที่ดีที่สุดของวงการว่ายน้ำไทยในโอลิมปิกคือ ช่วงโอลิมปิกปี 1992-2004 โดยทั้ง 4 สมัยเป็นช่วงที่ที่มีนักกีฬาผ่านควอลิฟายไปแข่งขันเป็นจำนวนมาก ไล่ตั้งแต่โอลิมปิกปี 1992 ที่บาร์เซโลน่า เข้าร่วม 5 คน ปี 1996 ที่แอตแลนต้าเข้าร่วมทั้งหมด 6 คน ปี 2004 ที่เอเธนส์ เข้าร่วมทั้งหมด 6 คน แต่ไม่มีโอลิมปิกครั้งไหนที่จะมีนักว่ายน้ำไทยในโอลิมปิกมากเท่าที่ ซิดนีย์ โอลิมปิกในปี 2000 อีกแล้ว เพราะครั้งนั้นมีนักว่ายน้ำไทยเข้าแข่งขันโอลิมปิกถึง 8 คน

ยุครุ่งเรืองแห่งวงการว่ายน้ำไทย

ตอบคำถามว่าทำไม ซิดนีย์โอลิมปิก ในปี 2000 หรือช่วงโอลิมปิกปี 1992-2004 ประเทศไทยถึงมีนักว่ายน้ำเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกมากเหลือเกิน ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ต้องตอบว่า ช่วงนั้นถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองของวงการว่ายน้ำไทยเลยก็ว่าได้ ถ้าดูกันที่สถิติวัดกับเพื่อนบ้านย่านอาเซียน ขุนพลนักว่ายน้ำไทยชาย และหญิงครองบัลลังก์ เจ้าสระอาเซียนยาวนานตั้งแต่ ซีเกมส์ปี 1995 ไปจนถึง ซีเกมส์ปี 2003 ก่อนจะมาเสียแชมป์ให้สิงคโปร์ก็ปาเข้าไปในซีเกมส์ปี 2005 แล้ว ในระดับเอเชีย อย่างเอเชียนเกมส์ นักกีฬาของเราก็สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาครองได้ใน เอเชียนเกมส์ ปี 1994 ที่ฮิโรชิม่า, เอเชียนเกมส์ ปี 1998 ที่กรุงเทพมหานคร หรือแม้กระทั่งในปูซานเกมส์ปี 2002 เราก็ยังได้เหรียญรางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้าน จากสถิติที่กล่าวมาพิสูจน์ได้เลยว่า ช่วงนั้นเราไม่ได้ไปโอลิมปิกแค่จำนวนนักว่ายน้ำที่มาก แต่ทั้งหมดมันเกิดจากคุณภาพที่มากล้นของนักว่ายน้ำไทยในยุคนั้นจริง ๆ

ลงแข่ง 16 รายการ จาก 26 รายการ

นอกจากจะเป็นโอลิมปิกที่มีนักว่ายน้ำไทยเข้าร่วมแข่งขันมากที่สุดแล้ว โอลิมปิกซิดนีย์ ปี 2000 ยังเป็น โอลิมปิกที่นักว่ายน้ำไทยลงแข่งมากที่สุดถึง 16 รายการ จาก 26 รายการประเภทเดี่ยวที่มีการจัดแข่งขันที่ สระว่ายน้ำ Sydney International Aquatics Center โดยนักว่ายน้ำทั้ง 8 คนของไทยมีผลงานดังต่อไปนี้

     1. วิชา รัตนโชติ

ฉลามเซฟ ที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนักก่อนแข่ง ลงแข่ง 1 รายการ ในท่าฟรีสไตล์ 200 เมตรท่าเก่ง ทำเวลาอยู่ที่ 1.54.91 นาที และได้อันดับที่ 43 ของการแข่งขัน

     2. ต่อวัย เสฏฐโสธร

ฉลามโอ๊ต ทำเวลาผ่านเข้าแข่งขันถึง 4 ท่า มากที่สุดของนักว่ายน้ำชายไทยในโอลิมปิกครั้งนั้น โดยท่าฟรีสไตล์ 400 เมตร เจ้าตัวทำเวลา 3.56.68 นาที ได้อันดับที่ 24, ท่าฟรีสไตล์ 1500 เมตร ทำเวลา 15.39.60 นาที คว้าอันดับที่ 28, กรรเชียง 200 เมตร ทำเวลา 2.05.62 นาที ได้อันดับที่ 35 และท่าเดี่ยวผสม 400 เมตร ทำเวลา 4.28.42 นาที คว้าอันดับที่ 32

     3. ดุลยฤทธิ์ พวงทอง

ฉลามโก้ เข้าแข่งขัน 2 รายการ ในท่าผีเสื้อ 200 เมตร ทำเวลาได้ 2.04.15 นาที ได้อันดับที่ 38 และในท่ากรรเชียง 100 เมตร ทำเวลาได้ 58.48 วินาที ได้อันดับที่ 43

     4. พทัญญู ยิ้มสำรวย

ฉลามกาย ลงแข่งรายการเดียวในท่าเดี่ยวผสม 200 เมตร สามารถทำเวลาได้ที่ 2.08.38 นาที คว้าอันดับที่ 43 ของการแข่งขัน

     5. รัฐพงศ์ ศิริสานนท์ 

ฉลามณุก ในโอลิมปิก เกมส์ที่ซิดนีย์ ในครั้งนั้นลงแข่งเพียงท่าเดียวในท่ากบ 200 เมตร โดยเจ้าตัวทำเวลาเข้ามาที่ 2.23.95 นาที คว้าอันดับที่ 41 ของการแข่งขัน

     6. ไพลิน เตชะกฤตธีรนันท์ 

เงือกแพร ในโอลิมปิกครั้งนั้นเหมาว่ายเกือบทุกระยะของท่าฟรีสไตล์ ขาดเพียงแค่ระยะ 800 เมตรเท่านั้น โดยท่าฟรีสไตล์ 50 เมตร เธอทำเวลา 27.31 วินาที ได้อันดับที่ 45, ท่าฟรีสไตล์ 100 เมตร ทำเวลา 58.69 วินาทีได้อันดับที่ 39, ท่าฟรีสไตล์ 200 เมตร ทำเวลา 2.05.88 วินาที ได้อันดับที่ 30 และท่าฟรีสไตล์ 400 เมตร ทำเวลาอยู่ที่ 4.29.28 นาที ได้อันดับที่ 39 ไปครอง

     7. ประพาฬสาย มินประพาฬ

เงือกแหวน ลงแข่งโอลิมปิกครั้งที่ 2 ในชีวิตในท่าผีเสื้อ 100 เมตร เธอทำเวลาได้ที่ 1.02.99 นาที คว้าอันดับที่ 37 ของการแข่งขันไปครอง

     8. ชลธร วรธำรง

เงือกโอ ราชินีกรรเชียงแห่งอาเซียน ลงแข่งโอลิมปิกครั้งแรกใน 2 ท่าถนัดอย่าง กรรเชียง 100 เมตร ที่เธอทำเวลาที่ 1.05.98 นาที ได้อันดับที่ 35 และท่ากรรเชียง 200 เมตร ทำเวลาที่ 2.21.59 นาที คว้าอันดับที่ 30 ของการแข่งขัน

ปรากฎการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้นในยุคนี้

นักว่ายน้ำไทย 8 คนในโอลิมปิกครั้งเดียวกัน เป็นปรากฎการณ์ ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ยากจริง ๆ ในยุคนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนกฎ การจำกัดจำนวนนักกีฬาเข้าแข่งขันของ FINA รวมถึง การสนับสนุนว่ายน้ำในบ้านเราที่ลดน้อยลงไปเนื่องจากร้างราความสำเร็จไปนาน ในโอลิมปิก 3 ครั้งสุดจากปี 2004 เราส่งนักกีฬาไปได้เพียงปีละ 2 คนมา 3 สมัยติดแล้ว เช่นเดียวกับ โตเกียวโอลิมปิก 2020 ที่ส่อแววว่าจะมีนักว่ายน้ำสัญชาติไทยแค่ 2 คนเช่นเดิม ที่ผ่านเกณฑ์เข้าแข่งขัน ทำให้เราคงต้องรออีก 4 ปีเป็นอย่างน้อยในการสร้างประวัติศาสตร์เหมือนโอลิมปิกในปี 2000 ที่ซิดนีย์ ประเทศ ออสเตรเลีย