18 มิถุนายน 2563
"วันที่ฉันจะหยุดต่อสู้เพื่อความเสมอภาค ก็คือวันที่ฉันอยู่ในหลุมศพของตัวเอง" นี่คือคำประกาศจากนักเทนนิสหญิงที่เคยขึ้นถึงจุดสูงสุดของโลก และเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดานักเทนนิสที่ยังเล่นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากเธอจะเป็นที่รู้จักเพราะความสำเร็จในอาชีพแล้ว เซเรน่า ยังนับเป็นหนึ่งในนักกีฬาดังที่ออกมาเรียกร้องสิทธิเพื่อความเสมอภาคทั้งเรื่องเพศ และสีผิวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันนอกจากเธอจะเป็นนักเทนนิส, นักธุรกิจ, ภรรยา และแม่แล้ว เธอยังเป็นแบบอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันของคนต่างเชื้อชาติต่างสีผิว หลังแต่งงานกับ อเล็กซิส โอฮาเนียน นักธุรกิจหนุ่มผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Reddit อันโด่งดัง ซึ่งด้วยสถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลังตื่นตัวจากกระแส Black Lives Matter เซเรน่าและสามีจึงได้เปิดอกพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมทั้งแนวคิดในการเลี้ยงหนูน้อยโอลิมเปียให้เติบโตขึ้นโดยมองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
การเรียกร้องสิทธิคือสิ่งที่รอไม่ได้
"(ในอินสตาแกรม) ทุกวันเสาร์เรามักจะมานั่งคุยกันเรื่องแฟชั่น, ชีวิต และสิ่งที่แต่ละคนพบเจอมาทั้งในชีวิตประจำวัน และในอาชีพ ซึ่งชัดเจนว่าเรื่องล่าสุดที่เกิดขึ้นไปทั่วโลกนั้น ส่งผลกระทบกับผู้คนจำนวนมากในทิศทางที่ต่างกัน และฉันรู้สึกว่าสิ่งนี้มันรอไม่ได้ " เซเรน่า เริ่มต้นการสนทนา
"เรื่องนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก มีหลายคนที่ก้าวออกมาพร้อมกับบอกว่า 'ฉันไม่ชอบสิ่งนี้, ฉันจะไม่ทนกับเรื่องนี้ และฉันรู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น'"
ขณะที่ตัวเซเรน่าเองตลอดอาชีพที่ผ่านมา เธอเจอกับเหตุการณ์เหยียดเพศและสีผิวอยู่บ่อยครั้ง ครั้งล่าสุดคือใน ยูเอส โอเพ่น รอบชิงชนะเลิศปี 2018 ที่เธอมีปัญหากับ คาร์ลอส รามอส แชร์อัมไพร์ หลังถูกหักคะแนนจากกรณีโค้ชส่งสัญญาณให้จากข้างสนาม ทั้งที่เธอไม่เห็นสัญญาณ และถูกหักคะแนนเพิ่มจากเขวี้ยงแร็กเก็ตลงพื้น และต่อว่ารามอสเป็นโจรปล้นคะแนน ซึ่งเธอมองว่าหากเป็นนักเทนนิสชายจะไม่โดนลงโทษขนาดนี้
"ผู้คนส่วนมากไม่รู้ว่าตลอดทั้งชีวิตของฉัน ต้องต่อสู้กับความท้าทายที่หลากหลาย ฉันต้องรับมือกับความไม่เสมอภาคหลายครั้ง เช่นเดียวกับการเหยียดผิวอันน่าเศร้า ซึ่งโชคร้ายที่มันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่มีผิวสีเดียวกับฉัน มันเป็นเรื่องน่าผิดหวัง แต่ก็ทำให้ฉันคิดได้ว่าสิ่งที่ต้องจัดการคือระบบที่ทำให้มันเกิดขึ้น และเราไม่ควรปล่อยให้มันเป็นเรื่องปกติ"
สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้แชมป์แกรนด์สแลม 23 สมัย ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมาได้ นั่นก็คือศรัทธาในพระเจ้า เซเรน่ายกให้เรื่องนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอตามด้วยครอบครัว และกีฬาเทนนิส
"โดยส่วนตัวแล้วฉันเป็นคนที่เกรงกลัวต่อบาปและเชื่อมั่นในคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งหนทางหนึ่งที่จะทำให้เรารู้สึกถึงสันติและความปลอดภัยคือผ่านทางพระองค์ ดังนั้นฉันจึงใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องช่วยปลอบประโลม แต่น่าเศร้าที่บางคนในระดับเดียวกันกับฉันต้องจำใจยอมรับหลายสิ่งหลายอย่างเพียงเพราะเรื่องสีผิว"
คู่ครองที่เข้าใจและพร้อมสู้ไปด้วยกัน
กรณีการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ก่อให้เกิดการประท้วงไปทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่คนผิวดำเท่านั้น แต่คนทุกสีผิวทุกชนชาติต่างออกมาแสดงจุดยืนถึงเรื่องนี้
ขณะที่ อเล็กซิส โอฮาเนียน สามีของเซเรน่าทำสิ่งที่มากกว่าแค่การประท้วงหรือบริจาคเงินให้องค์กรการกุศล แต่เขาเลือกใช้วิธีปฏิบัติเพื่อให้ทุกคนเห็นเป็นแบบอย่าง นั่นก็คือการลาออกจากบอร์ดบริหารของ Reddit โซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดังที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเมื่อ 15 ปีที่แล้ว พร้อมทั้งเรียกร้องให้บริษัทเลือกคนผิวดำมาแทนที่เขา เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับระดับบริหารขององค์กร ส่วนรายได้จากการถือหุ้นในอนาคตจะถูกใช้เป็นทรัพยากรเพื่อสู้กับการเหยียดผิว
"นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลยแม้แต่น้อย" อเล็กซิส อธิบาย "ผมคิดถึงสิ่งที่ตัวเองควรทำมากไปกว่าการโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย และมากไปกว่าการบริจาค เราต้องการความหลากหลายในระดับสูงสุดของธุรกิจมากกว่าที่เคยเป็นมา และเมื่อผมรู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ มันก็เป็นเรื่องง่าย"
ขณะเดียวกัน เซเรน่า ก็อธิบายว่า เธอไม่มีส่วนกับการตัดสินใจของสามีอย่างที่หลายคนเข้าใจแม้แต่น้อย พร้อมยอมรับว่าเธอก็ประหลาดใจกับการลงจากตำแหน่งของอเล็กซิสมากพอกับทุก ๆ คน
ต่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของลูกน้อย
อเล็กซิส อธิบายเพิ่มเติมว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาลงมือสร้างความแตกต่างในสังคมนั่นก็คือ โอลิมเปีย ลูกสาวของทั้งคู่
"ผมมองดูโอลิมเปียและรู้สึกว่า เธอใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า เธอรู้จักเพียงความรักโดยไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเกลียดชังอยู่ในตัว เธอไม่แม้แต่จะเกลียดตัวโกงในการ์ตูน แม้เขาจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างชัดเจนก็ตาม" อเล็กซิส พูดถึงลูกสาว
"นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด เพราะเด็กทุกคนต่างเป็นผ้าใบว่างเปล่าของความรักที่บริสุทธิ์ แต่ถูกปลูกฝังความเกลียดชังจากสิ่งรอบตัว และวันหนึ่งในอนาคต โอลิมเปีย ก็จะมาพูดกับผมถึงเรื่องวิธีการที่จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ทำอย่างไรเธอถึงจะทำให้มันมีผลกระทบมากกว่านี้ ซึ่งมันทำให้ผมหัวเสียเพราะเธอไม่ควรจะต้องไปทำอะไรแบบนั้น และมันยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าคนผิวดำทนกับเรื่องนี้มาตลอดชีวิตได้อย่างไร"
ด้าน เซเรน่า ตอบสามีว่า "มันเป็นเรื่องยาก เพราะโชคร้ายที่มันกลายเป็นเรื่องปกติของพวกเราไปแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาในการไปสถานที่อื่นและรู้สึกไม่เป็นที่ต้อนรับ ฉันเข้ามาในวงการกีฬาที่ทั้งหมดเป็นคนขาว ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย"
"ฉันยังเด็กมากและเพิ่งจะปรับตัว ฉันไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อเอาชนะคนอื่น ๆ ฉันแค่ไปเล่นเทนนิส และเรื่องทั้งหมดก็ส่งผลต่อความเชื่อของฉันที่คิดว่ามันจะเป็นแค่เพียงชั่วคราว ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในตำแหน่งนี้, ฉันคิดว่าฉันคงจะเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความอิจฉา หากไม่ได้มีพื้นเพเป็นคนที่มีศรัทธาในศาสนา"
"เพราะทุกสิ่งที่ฉันได้พบเจอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันผ่านมันมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเห็น ทำให้มันเป็นเรื่องยาก"
ทั้งนี้ มีงานวิจัยในช่วงปี 1940 โดยสามี-ภรรยานักจิตวิทยาชื่อ เคนเน็ธ และ เมมี่ คลาร์ก ซึ่งใช้ตุ๊กตาเด็กผิวดำกับผิวขาวมาทดสอบเด็กวัย 3-7 ขวบชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ปรากฏว่าทั้งหมดชื่นชอบตุ๊กตาเด็กผิวขาวมากกว่า และมองว่าตุ๊กตาเด็กผิวดำเป็นสิ่งที่เลวร้าย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมไปถึงการศึกษาที่หล่อหลอมให้เด็กเหล่านั้นมีทัศนคติที่ยกให้ผิวขาวอยู่เหนือกว่าผิวดำ
อย่างไรก็ตาม เซเรน่า พยายามเลี้ยงดูโอลิมเปียให้มีความคิดที่แตกต่างออกไป เธอซื้อตุ๊กตาเด็กผิวดำให้ โอลิมเปีย เป็นตัวแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของในตอนเด็ก ขณะเดียวกันเซเรน่าและสามียังสร้างพื้นที่ในโลกโซเชียลให้กับตุ๊กตาดังกล่าวที่มีชื่อว่า ไคว ไคว ตามที่หลานชายของเซเรน่าตั้งให้ โดยมีการตกแต่งภาพให้ตุ๊กตาแสดงสีหน้าต่าง ๆ ได้สมจริง ไปจนถึงการทำเป็นอนิเมชัน ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลกถึงขั้นที่ต้องมีการผลิตของที่ระลึกมาจำหน่ายกันเลยทีเดียว (หากอยากรู้ว่าน้อง ไคว ไคว ฮอตขนาดไหนไปดูได้ที่นี่ https://www.instagram.com/realqaiqai/
ชีวิตคู่ทำให้เข้าใจความต่าง
ในช่วงท้ายของการพูดคุยกันของทั้งคู่ เซเรน่า เน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ของคู่แต่งงานช่วยให้พวกเธอสามารถเปิดอกพูดคุยกันถึงเรื่องเชื้อชาติได้ ซึ่งอเล็กซิสก็ชี้ให้เห็นถึงสิทธิพิเศษที่เขาเคยเห็นเคยเจอมาในชีวิต โดยบอกว่า "ไม่มีสักครั้งในอาชีพที่รู้สึกว่าตัวเองเข้าผิดห้อง หรือเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์"
ขณะที่ เซเรน่า บอกว่า "ฉันบอกให้คุณรู้สิ่งที่ฉันเห็นอยู่เสมอ ฉันเห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป ตลอดชีวิตของฉัน ฉันถูกสอนให้เห็นความแตกต่างเพราะสิ่งที่ฉันเป็นและเพราะสีผิวของฉัน"
"คุณเห็นสิ่งที่ต่างกันเพราะสีผิวของคุณ ฉันแค่บอกมุมมองของตัวเอง และเมื่อคุณเข้าใจมุมมองของฉันก็จะมองเห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง มีหลายครั้งที่ทำให้ฉันต้องเลือกทางที่ยากลำบากเพื่อความชอบธรรม แม้กระทั่งในทุกวันนี้"
"ฉันภูมิใจเสมอกับสิ่งที่ตัวเองเป็น, กับการเป็นคนดำ, ฉันแค่รู้สึกว่าฉันคงจะไม่เป็นตัวของตัวเอง, คงจะไม่แข็งแกร่ง, คงจะไม่สามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมในอาชีพ และคงจะไม่ใช่ตัวฉันเองหากไม่ได้ผิวดำ ฉันเอนเอียงไปทางนั้นอยู่เสมอ และเป็นสิ่งที่ฉันได้มาจากพ่อแม่"
"พวกเขาสอนให้ฉันได้รู้จักพลังของการรักในตัวเอง คราวนี้มันคือสิ่งที่จำเป็นมากกว่าที่เคย" เซเรน่า ปิดท้าย
แน่นอนว่าแค่การกระทำของ เซเรน่า และสามี อาจไม่ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ แต่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้ทุกคนทำตาม และอย่างน้อยหนึ่งในเมล็ดพันธุ์ของพวกเขาก็จะโตมาโดยมีความคิดที่เห็นทุกคนเท่าเทียมกัน รวมทั้งมีโอกาสที่จะส่งต่อพลังบวกนั้นไปยังคนอื่น ๆ ต่อไป
TAG ที่เกี่ยวข้อง