27 พฤษภาคม 2563
"ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย" นี่คือหนึ่งในคำกล่าวสุดคลาสสิคจากวรรณกรรมสามก๊กที่ออกมาจากปากของจิวยี่ แม่ทัพของง่อก๊ก และคู่ปรับคนสำคัญของขงเบ้ง ซึ่งมักจะถูกนำไปใช้อยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวของคนที่เป็นคู่ปรับกันโดยเฉพาะในวงการกีฬา เพราะหาได้ยากที่คนคนหนึ่งจะครองความยิ่งใหญ่ได้แบบไร้คู่แข่ง
การมีคู่ปรับถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตัวเอง แต่การแย่งกันไขว่คว้าความสำเร็จ บวกกับการเสกสรรปั้นแต่งจากสื่อมวลชน ทำให้แฟนกีฬาอย่างเราพลั้งเผลอคิดไปว่าพวกเขาคงตั้งอยู่บนความริษยาและไม่มีทางญาติดีกัน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมีหลายคู่ที่แม้ไม่ได้ถึงขั้นเป็นเพื่อนตาย แต่ก็เคารพในความยอดเยี่ยมของอีกฝ่ายที่ทำให้ตัวเองต้องทุ่มเทจนถึงที่สุด และนี่คือสุดยอดคู่ปรับในวงการกีฬาที่แม้จะฟาดกันในสนาม แต่ก็ยอมรับในฝีมือซึ่งกันและกัน
ลิโอเนล เมสซี่ - คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (ฟุตบอล)
ในยุคก่อนหน้านี้ หนึ่งในคำถามยอดฮิต และเป็นคำถามโลกแตกของวงการฟุตบอลคือ ใครเก่งกว่ากันระหว่าง เปเล่ กับ ดีเอโก้ มาราโดน่า ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตอบได้ เพราะทั้งคู่เล่นอยู่ในคนละยุคสมัย แต่ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ชุดคำถามเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้ง และต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 15 ปี เพียงแต่เปลี่ยนตัวบุคคลเป็น ลิโอเนล เมสซี่ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
คราวนี้การเปรียบเทียบชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เพราะเล่นอยู่ในยุคเดียวกัน เคยเล่นอยู่ในลีกเดียวกัน และอายุไล่เลี่ยกัน แม้จะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เมสซี่กับโรนัลโด้เป็นคู่แข่งกันทุกเรื่องทั้งในและนอกสนาม ทั้งคู่ได้บัลลงดอร์ (รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี) รวมกัน 11 สมัย (เมสซี่ 6, โรนัลโด้ 5), ได้แชมป์รวมกัน 65 รายการ (เมสซี่ 34, โรนัลโด้ 31), ยิงประตูรวมตลอดอาชีพได้เกิน 700 ลูก, รวมทั้งเป็นนักกีฬาที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก 2 อันดับแรก ขณะที่สื่อยิ่งโหมกระหน่ำความเป็นคู่ปรับกันจนทำให้เราคิดว่าคู่นี้คงไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้
แล้วความจริงทั้งคู่รู้สึกต่อกันอย่างไร? เมื่อทั้งคู่ถูกสัมภาษณ์ถึงอีกฝ่าย ถ้อยคำที่ออกมาล้วนเป็นคำชื่นชม และยอมรับนับถือในฝีเท้า โดยโรนัลโด้เคยพูดถึงเมสซี่ตอนร่วมงานประกาศรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยูฟ่าในปี 2019 ว่า
"เราอยู่บนเวทีนี้ร่วมกันมากว่า 15 ปีแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่กับการที่ชาย 2 คนอยู่บนเวทีเดียวกันตลอดเวลา แน่นอนว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้ยังไม่เคยดินเนอร์ด้วยกันมาก่อน แต่ผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคต"
"เราเคยชิงความยิ่งใหญ่กันในสเปน ผมผลักดันเขาและเขาก็ผลักดันผมเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล"
ขณะที่ เมสซี่ พูดถึงโรนัลโด้เอาไว้ว่า
"ทุกวันนี้มีนักเตะฝีเท้าดีมากมายอย่าง เนย์มาร์, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, หลุยส์ ซัวเรซ, เอแด็น อาซาร์...ในกลุ่มนี้ใครก็สามารถขึ้นมาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกได้ แต่ผมยกโรนัลโด้แยกออกมาอยู่ระดับเดียวกันกับผม"
"การได้แข่งกับเขาเป็นเรื่องที่ดี แม้จะเป็นเกมที่ยากก็ตาม ผมมีความสุขเมื่อคว้าแชมป์ตอนเขาอยู่กับ เรอัล มาดริด ซึ่งคงจะดีหากเขายังเล่นในสเปนต่อไป"
"การดวลกันของเราจะได้รับการจดจำไปตลอดกาล ความเป็นคู่ปรับในวงการกีฬาของเรานั้นเป็นเรื่องดี เพราะทำให้แฟน ๆ ได้สนุกไปกับมัน ไม่ว่าจะเป็นแฟน เรอัล มาดริด หรือ บาร์เซโลน่า รวมไปถึงคนที่ชอบฟุตบอลก็จะสนุกไปกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน"
โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ - ราฟาเอล นาดาล (เทนนิส)
หนึ่งในคู่ปรับที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวงการกีฬาตลอดช่วงเวลากว่า 1 ทศวรรษ ทั้งคู่เจอกันมาแล้วกว่า 40 แมตช์ ได้แชมป์แกรนด์สแลม 20 สมัยมากที่สุดเท่ากัน และผลัดกันครองมือหนึ่งของโลกหลายต่อหลายหน แต่หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของคู่นี้คือ ความเคารพและการไร้ซึ่งความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ถึงแม้จะคอยผลักดันให้อีกฝ่ายต้องพัฒนาความสามารถของตัวเองให้สูงขึ้นมานานหลายปี นอกจากนั้นเมื่อฝ่ายใดมีงานการกุศลอีกฝ่ายก็พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ไม่ว่าจะลงเงินหรือลงแรงก็ตาม
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้น ยอดนักเทนนิสชาวสวิตเซอร์แลนด์ อธิบายไว้ว่า
"เป็นการดีที่ได้เรียกหนึ่งในคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองว่าเพื่อน แต่นาดาลไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทของผม ผมก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทของเขาเช่นกัน เรามีวิถีชีวิตของตัวเอง แต่ก็เข้าใจกันดี"
"ถึงแม้เราจะมีมุมมองต่อชีวิตต่างกันแต่เราเคารพซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก"
ขณะที่ นาดาล ซึ่งอายุน้อยกว่า 5 ปี แม้จะมีสถิติในการเจอกันเหนือกว่านักหวดรุ่นพี่ แต่เขาก็ไม่เคยองว่าตัวเองก้าวข้ามเฟเดอเรอร์ไปแล้วแต่อย่างใด เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งเขาเคยตอบคำถามเรื่องใครเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่กว่ากันว่า
"หากมีใครบอกว่าผมดีกว่าโรเจอร์ นั่นแปลว่าคนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเทนนิสแม้แต่นิดเดียว"
หลิน ตัน - ลี ชอง เหว่ย (แบดมินตัน)
ปิดท้ายด้วยคู่ปรับตลอดกาลของวงการลูกขนไก่ ซึ่งนับตั้งแต่เจอกันในรอบชิงชนะเลิศรายการ มาเลเซีย โอเพ่น เมื่อปี 2005 ทั้งคู่ก็เปิดศึกชิงความเป็นหนึ่งกันเรื่อยมา แต่คนที่เจ็บปวดมากที่สุดคือ ลี ชอง เหว่ย เพราะการมีอยู่ของชายชื่อ หลิน ตัน ทำให้เขาฝันสลายครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะในรอบชิงฯ โอลิมปิก เกมส์ ที่เขาปราชัยต่อคู่ปรับชาวจีนทั้ง 2 หน และเสียท่าในศึกชิงแชมป์โลกอีก 2 ครั้ง ก่อนที่สุดท้ายต้องจบอาชีพโดยไม่มีแชมป์รายการใหญ่ติดมืออย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันทั้งในและนอกสนาม และใช้อีกฝ่ายเป็นแรงกระตุ้นในการพัฒนาตัวเอง โดยหลังจบเกมรอบชิงชนะเลิศของศึกชิงแชมป์โลกปี 2013 ที่ ลี ชอง เหว่ย ขอยอมแพ้เพราะอาการตะคริวในช่วงท้ายเกมนั้น หลิน ตัน เปิดเผยว่า "เขาเป็นศัตรูของผม แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมในวงการแบดมินตันด้วย เราไม่ได้เป็นศัตรูกันเหมือนกับปีก่อน ๆ แล้ว เราไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไป ซึ่งต้องขอบคุณคู่แข่งที่ยอดเยี่ยมคนนี้"
ขณะเดียวกัน ตอนที่ตำนานนักแบดชาวมาเลเซียประกาศอำลาวงการเมื่อปี 2019 หลิน ตัน ก็ได้โพสต์ข้อความลงใน เหว่ยป๋อ โซเชียลมีเดียชื่อดังของจีนว่า "ผมคงจะต้องเดียวดายอยู่ในคอร์ต และคงไม่มีใครมาคอยเคียงข้างอีกแล้ว"
ด้าน ลี ชอง เหว่ย ก็ได้พูดถึงคู่ปรับตลอดกาลของเขาเช่นกัน เมื่อถูกถามว่าใครคือนักแบดมินตันที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
"บอกได้เลยว่าคือ หลิน ตัน เขาคือตำนาน ความสำเร็จของเขาบ่งบอกทุกอย่าง และเราควรต้องยกย่อง"
นอกจากนั้น ลี ชอง เหว่ย ยังยอมรับว่า การยึดติดกับ หลิน ตัน ทำให้เขาไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
"ทุกครั้งที่กลับมาซ้อมหลังจากพ่ายแพ้ ชื่อของ หลิน ตัน ติดอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ผมรู้ว่าถ้าต้องการชนะรายการสำคัญ ก็ต้องเอาชนะเขาให้ได้ ผมไม่สามารถคลายความกดดันได้เลย"
"แม้แต่ตอนที่ผมเป็นตะคริว ผมก็บอกกับโค้ชว่าต้องการลงซ้อมต่อไป เพราะรู้ดีว่า หลิน ตัน คอยผมอยู่ ผมคิดถึงเขาตลอดเวลา"
คู่แข่งที่เท่าเทียม ย่อมทำให้เรายากที่จะประสบความสำเร็จ บางครั้งอาจทำให้เราท้อถอย หรือบางครั้งอาจทำให้เราอยากยอมแพ้ต่อแรงกดดัน แต่หากเรามองสิ่งนั้นในมุมที่กลับกันก็จะเห็นว่าคู่ปรับที่เก่งกาจคือยาขนานแรงที่กระตุ้นให้เราไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และหากลดทิฐิรวมทั้งตัดอคติออกไป เรายังสามารถศึกษาจุดแข็งและจุดอ่อนของเขาเพื่อนำมาปรับใช้กับตัวเองได้อีกด้วย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
TAG ที่เกี่ยวข้อง