20 พฤษภาคม 2563
หลังจากเริ่มออกอากาศครั้งแรกช่วงกลางเดือนเมษายน ปี 2020 หนึ่งเดือนต่อมาสารคดีกีฬาที่ทั่วโลกรอคอยอย่าง "The Last Dance" ก็ปรากฏสู่สายตาทุกคนครบทั้ง 10 ตอน สิริเวลารวมเกือบ 500 นาที ซึ่งหากจะว่ากันตามจริงแล้ว ต่อให้มีอีก 10 ตอน หรือ 10 ชั่วโมง เราก็พร้อมที่จะดูต่อไป เพราะสิงที่ได้มันไม่ใช่แค่เพียงความบันเทิง หรือเรื่องราวในอดีตที่หลายคนไม่เคยรู้เท่านั้น แต่ยังได้รู้ถึงองค์ประกอบและรายละเอียดต่าง ๆ อีกมากมายที่ทำให้ ไมเคิล จอร์แดน และการคว้าแชมป์ของ ชิคาโก้ บูลล์ส ในยุคนั้นกลายเป็นตำนานที่เล่าต่อกันมาไม่รู้จบ
ความจริงแล้ว "The Last Dance" ถูกวางไว้ให้ออกอากาศในเดือนมิถุนายน แต่ด้วยการที่วงการกีฬากำลังซบเซา ไม่สามารถแข่งขันได้เพราะพิษไวรัสโคโรน่า ทำให้ เจสัน เฮฮีร์ ผู้กำกับ รวมทั้ง โปรดิวเซอร์ และ อีเอสพีเอ็น เจ้าของลิขสิทธิ์ตัดสินใจนำมาออกอากาศก่อนกำหนด ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและควรค่าแก่การชมเชย "The Last Dance" กลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่ทุกพื้นที่สื่อต่างพูดถึง รวมทั้งขุดเอาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ จอร์แดน และ บูลล์ส ยุคนั้นออกมานำเสนอเต็มไปหมด
แต่เราได้อะไรจากการดูซีรีย์สารคดีบาสฯ ความยาวกว่า 8 ชั่วโมงนี้บ้าง มาหาคำตอบร่วมกันเลย
ชัยชนะคือที่สุด
ไม่ได้ถึงขั้น "ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ" เพราะจอร์แดนไม่ได้โกงการแข่งขัน มันแค่อยู่ในขั้นที่ว่า "ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าชัยชนะ" และ "The Last Dance" แสดงให้เห็นว่าจอร์แดนบ้าคลั่งแค่ไหนในการไล่ล่าแชมป์ เขาผลักดันตัวเองและทั้งผลักทั้งดึงเพื่อนร่วมทีม ซึ่งไม่สำคัญว่าจะเป็นใครหน้าไหนหรืออะไรที่มาขวางทาง เขาจะหาวิธีก้าวข้ามหรือหลบเลี่ยงอุปสรรคไปให้ได้ แน่นอนความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่เจ็บปวด โดยเฉพาะการปราชัยต่อดีทรอยต์ พิสตันส์ซึ่งจอร์แดนยอมรับด้วยตัวเอง แต่เมื่อเขารู้วิธีคว้าแชมป์ จากนั้นก็ไม่มีใครหยุดเขาได้อีกต่อไป จอร์แดนไม่เคยพลาดแชมป์เลยในช่วงที่เขาลงเล่นเต็มฤดูกาลระหว่างปี 1991-1998
"เมื่อคุณมาอยู่ในทีม คุณก็ต้องเล่นให้ได้ในมาตรฐานเดียวกับผม ผมไม่ต้องการอะไรน้อยไปกว่านี้"
จอร์แดนยอมเสียความนิยมและต้องรับมือกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเลือดเย็น รวมทั้งความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะสถานเดียว แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็แลกมาด้วยแชมป์ 6 สมัย ขณะที่ตัวเขาก็ถูกยกให้เป็น 1 ใน 3 ผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
"The Last Dance" ไม่ใช่สารคดี
จอร์แดนจำเป็นต้องอนุมัติการถ่ายทำ รวมทั้งต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้อำนวยการผลิต โดยตำนานเอ็นบีเอจะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ซึ่งเจ้าตัววางแผนบริจาคให้การกุศล ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะบอกว่านี่คือสารคดีเมื่อพิจารณาจากวัตถุประสงค์เบื้องต้น
มีหลายส่วนที่ทำให้ซีรี่ย์นี้รู้สึกเหมือนเป็นสารคดี โดยเฉพาะฟุตเทจเบื้องลึกเบื้องหลังที่คัดสรรโดยเอ็นบีเอ แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่เช่นกัน อย่างการขาดเสียงบรรยายที่โดดเด่น, แถลงการณ์ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ และมุมมองของบุคคลอื่นที่ท้าทายต่อการเล่าเรื่อง
ราเชล นิโคลส์ ผู้สื่อข่าวของอีเอสพีเอ็นพูดถึงประเด็นนี้ว่า นี่เป็นรายการของจอร์แดน ซีรี่ย์แสดงเรื่องราวที่โดดเด่นในอาชีพของเขาเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็ลงลึกไปในรายละเอียดเหล่านั้นและปรับให้มันออกมาตามมุมมองของตัวเอง
จอร์แดนจองเวรจองกรรมเจอร์รี่ เคราส์ และไอเซย์ โธมัส
ตลอดหลายปีหลัง จอร์แดนยังคงแค้นฝังหุ่นกับ เจอร์รี่ เคราส์ อดีตผู้จัดการทั่วไปของบูลล์ส และ ไอเซย์ โธมัส พอยต์การ์ดระดับฮอลล์ ออฟ เฟม ของ พิสตันส์ ซึ่งเขาเลือกวิธีการเอาคืนได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อซีรี่ย์ที่ออกมาโจมตีทั้งคู่อย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะมันเป็นสิทธิ์ของเขา เขาจะสื่ออะไรออกมาก็ได้อย่างที่ต้องการ
ตามที่ได้รับการตั้งข้อสังเกต โธมัสไม่ได้รอดตัวจากการถูกโจมตีในตอนที่เกิดกรณีพิพาท แต่จอร์แดนก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้มันแล้วกันไป อย่างไรก็ตาม โธมัส ก็ยังได้ออกมาปกป้องตัวเอง และบอกเล่าเรื่องราวในมุมของเขาเช่นกัน
ขณะที่เคราส์ซึ่งเสียชีวิตในปี 2017 ไม่มีโอกาสหรือมีคนยื่นมือเข้ามาปกป้องตัวเขาเท่าไหร่นัก แม้แต่ เจอร์รี่ ไรน์สดอร์ฟ เจ้าของทีมบูลล์ส ยังออกตัวแทนแบบขอไปที ทั้งที่มันคงจะดีกว่าหาก "The Last Dance" ให้เครดิตเขามากกว่านี้ เพราะถ้าเคราส์ไม่ใช่ผู้จัดการที่สมบูรณ์แบบ แล้วใครจะเป็นได้ เมื่อดูจากสิ่งที่เขาทำให้กับแฟรนไชส์ ไล่ตั้งแต่การดึง ฟิล แจ็คสัน มาเป็นเฮดโค้ช, สร้างทีมที่คว้าแชมป์ได้ถึง 6 สมัย, ซิวตัว สกอตตี้ พิพเพ่น ผ่านการเทรดในวันดราฟต์ และหลังจากบูลล์สคว้าแชมป์ 3 สมัยแรก เขาก็ยกเครื่องใหม่หมดเว้นแค่จอร์แดนกับพิพเพ่นก่อนจะคว้าแชมป์ได้อีก 3 สมัย นอกจากนั้นเขายังสามารถหาผู้เล่นที่ไม่ใช่แค่เข้ากับจอร์แดนได้ แต่ยังเหมาะสมกับระบบ ไทรแองเกิล ออฟเฟนซ์ ของ ฟิล แจ็คสัน อีกด้วย
ผู้ยึดติดกับความแค้นและคำดูถูก
ทุกคนรู้ดีว่าจอร์แดนเป็นคนที่มักจะเก็บความขุ่นข้องหมองใจและใช้คำดูถูก(บางอย่างก็เกิดขึ้นจริง, บางอย่างก็คิดเอาเอง) เป็นแรงกระตุ้นตัวเอง ซึ่ง "The Last Dance" ขับภาพนั้นให้เห็นชัดยิ่งขึ้น
เราได้เห็นสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในอาชีพของเขา หากเขาถูกมองข้าม เขาก็จะทำให้มันเป็นประเด็นเพื่อเอาคืน อย่างเช่นตอนที่ ชาร์ลส์ บาร์คลี่ย์ คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าหรือเอ็มวีพีในปี 1993 จอร์แดนบอกว่าเขาก็แค่คว้าแชมป์และได้เอ็มวีพีในรอบชิงฯ เหมือนอย่างที่เขาพูดเปรียบเทียบตัวเองกับ ไคลด์ เดร็กซ์เลอร์ ก่อนรอบชิงฯ ปี 1992
บางอย่างมันก็ดูเป็นเรื่องหยุมหยิม แต่จอร์แดนมักเอามาเป็นประเด็นเพื่อเติมเต็มแรงกระตุ้นในการคว้าแชมป์ สิ่งนี้มันฝังลึกอยู่ในความคิดจิตใจของเขาตลอดเวลา
จอร์แดนจอมสกัดดาวโรจน์
แม้ "The Last Dance" จะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เรื่องนี้โดยตรงเท่ากับสิ่งที่สื่อออกมาโดยอ้อม แต่คนดูก็จะสังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน จอร์แดนและบูลล์สทำให้ผู้เล่นระดับฮอลล์ ออฟ เฟม และทีมที่ยอดเยี่ยมบางทีมพลาดการคว้าแชมป์ อย่างเช่น ไคลด์ เดร็กซ์เลอร์กับทีมพอร์ตแลนด์ เทรล เบลเซอร์ส, แพทริก อีวิ่งกับทีมนิวยอร์ก นิกส์, เรจจี้ มิลเลอร์กับทีมอินเดียน่า เพเซอร์ส, คาร์ล มาโลนและจอห์น สต็อกตันกับทีมยูท่าห์ แจ๊ซซ์, แกรี่ เพย์ตันกับทีมซีแอตเติล ซูเปอร์โซนิกส์ และชาร์ลส์ บาร์คลี่ย์กับทีมฟีนิกซ์ ซันส์
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะคว้าแชมป์หากไม่มีจอร์แดนมาขวาง แต่ก็น่าจะมีโอกาสที่ใกล้เคียงกว่านี้ เพราะผู้เล่นแต่ละคนต่างก็ได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานเช่นเดียวกับการได้อยู่ในทีมที่ยอดเยี่ยม ณ เวลานั้น
ความสำคัญของชายชื่อ เจมส์ จอร์แดน
ความสัมพันธ์ระหว่างจอร์แดนกับเจมส์พ่อของเขานั้นเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง พ่อมีส่วนสำคัญอย่างมากในชีวิตของเขา และจอร์แดนต้องการให้พ่อของเขาอยู่เคียงข้างให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งใน "The Last Dance" เราได้เห็น เจมส์ จอร์แดน ปรากฏตัวแทบทุกที่ทั้งในห้องแต่งตัว, บนอัฒจันทร์, ทำหน้าที่โฆษกอย่างไม่เป็นทางการให้ลูกชาย รวมทั้งไปคาสิโนกับจอร์แดนในคืนก่อนลงแข่งรอบเพลย์ออฟ
จอร์แดนแบ่งปันความชื่นชอบในกีฬาเบสบอลกับพ่อของเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเจ้าตัวถึงตัดสินใจหันไปลองเล่นกีฬาชนิดนี้ โดยจอร์แดนเปิดเผยว่าการเล่นเบสบอลเป็นหัวข้อสนทนาครั้งสุดท้ายก่อนที่พ่อของเขาจะถูกฆาตกรรม และในการคว้าแชมป์หนแรกหลังจากการเสียชีวิตของคุณพ่อ อารมณ์ความรู้สึกของเขาก็พรั่งพรูออกมา จอร์แดนอุทิศแชมป์ให้กับพ่อผู้ล่วงลับซึ่งนี่นับเป็นช่วงที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดใน "The Last Dance" ก็ว่าได้
จอร์แดน สุดยอดนักขาย
ความจริงแล้วนักกีฬาสร้างรายได้ก้อนโตจากผู้สนับสนุนมาตั้งแต่ก่อนยุคจอร์แดน แต่ด้วยเสน่ห์, รอยยิ้ม, ภาพลักษณ์ที่ดูดี รวมทั้งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จอร์แดนสร้างปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลายให้กับ ไนกี้, เกเตอเรด, แม็คโดนัลด์ ฯลฯ
เขาเจรจาสัญญากับไนกี้เพื่อตั้งบริษัทของตัวเองภายใต้ยี่ห้อ จอร์แดน แบรนด์ ก่อนกิจการจะงอกเงยใหญ่โตในฐานะผู้จำหน่ายชุดกีฬา รวมถึงรองเท้าที่ยังคงติดอันดับขายดีที่สุดแม้เขาจะไม่ได้ลงแข่งมานานเกือบ 2 ทศวรรษ ซึ่งวัฒนธรรมรองเท้าผ้าใบคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ หากไม่มีแรงบันดาลใจจากจอร์แดน
ปัจจุบันจอร์แดนยังเป็นนักกีฬาที่รวยที่สุดในโลก โดยฟอร์บส์นิตยสารการเงินชื่อดังเปิดเผยว่าเขามีทรัพย์สินกว่า 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำรายได้ไปถึง 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2019
สาเหตุหลักที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาขายได้มาจนถึงทุกวันนี้เพราะจอร์แดนและเดวิด ฟอล์ค เอเยนต์ควบผู้จัดการทางธุรกิจรู้วิธีทำการตลาดด้วยชื่อจอร์แดนเป็นอย่างดี สังเกตได้จากรองเท้าซีรี่ย์ แอร์ จอร์แดน ที่ขึ้นหิ้งไปแล้ว นอกจากนั้นวิธีการของพวกเขายังเป็นคู่มือให้นักกีฬาคนอื่นเจริญรอยตาม เหมือนอย่างที่ เลอบรอน เจมส์ ตอบรับลงเล่นภาพยนตร์เรื่อง สเปซ แจม ภาค 2 หลังจากจอร์แดนสร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลกจากภาคแรกนั่นเอง
TAG ที่เกี่ยวข้อง