stadium

5 สุดยอดนักชก "แก่แต่เก๋า"

20 พฤษภาคม 2563

ถ้าพูดกันโดยทั่วไปแล้ว ช่วงเวลาที่พีกที่สุดของนักมวยจะอยู่ระหว่างอายุ 28 ถึง 35 ปี หลังจากนั้นสภาพร่างกายของพวกเขาก็จะโรยราไปตามกาลเวลา มันเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีนักชกจำพวกหนึ่งที่มีประสาทสัมผัสพิเศษเหนือคนอื่น ๆ พวกเขาเข้าใจสภาพร่างกายของตัวเอง และหันมาใช้เทคนิครวมทั้งทักษะเพื่อทดแทนความถดถอยของพละกำลัง ซึ่งนักมวยประเภทนี้นานวันเข้าพวกเขายิ่งเฉลียวฉลาดและมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น จนสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธเพื่อเอาชนะนักชกรุ่นน้องที่หนุ่มแน่นและแข็งแรงมากกว่าลงได้

 

หลายคนบอกว่ามวยเป็นกีฬาของคนหนุ่ม แต่นักชกเหล่านี้ไม่ได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น และนี่คือ 5 สุดยอดนักชกที่พิสูจน์ให้เห็นว่า อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข

 

5.จอร์จ โฟร์แมน

 

 

ก่อนที่จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากธุรกิจเตาย่างบาร์บีคิวเพื่อสุขภาพ จอร์จ โฟร์แมน เคยเป็นนักชกชื่อดังระดับแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต 2 สมัยมาก่อน ซึ่ง "บิ๊กจอร์จ" จัดเป็นนักมวยประเภทหมัดหนัก ไล่น็อกคู่แข่งมานักต่อนักในช่วงปี 1969 และ 1997 โดยในช่วงพีก ๆ โฟร์แมนทำให้คู่ชกหลายคนขวัญผวา แม้จะเป็นฝ่ายแพ้น็อกครั้งแรก และครั้งเดียวในอาชีพต่อยอดมวยอย่าง มูฮัมหมัด อาลี ในไฟต์ "Rumble in the Jungle" อันโด่งดัง แต่เขาก็ยังประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายกำปั้นยาวนานกว่า 2 ทศวรรษหลังจากไฟต์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้น

 

แม้เจ้าตัวจะแขวนนวมครั้งแรกตั้งแต่อายุเพียง 28 ปี แต่ก็กลับมาขึ้นสังเวียนในอีก 10 ปีให้หลังด้วยวัย 38 ปี พร้อมกับร่างกายที่ไม่เหลือเค้านักกีฬา หลายคนมองเป็นเรื่องตลก และคิดว่าโฟร์แมนหมดยุคไปแล้ว แต่สุดท้ายคนที่หัวเราะทีหลังย่อมดังกว่าเสมอ โฟร์แมนเก็บชัยชนะ 24 ไฟต์รวด เป็นการชนะน็อกถึง 22 ไฟต์ ก่อนจะได้ขึ้นชิงแชมป์โลก 3 สถาบันกับ อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ และเป็นฝ่ายแพ้คะแนนอย่างเอกฉันท์ อย่างไรก็ตามโฟร์แมนได้ชิงแชมป์โลกอีกครั้งใน 4 ไฟต์ต่อมา แต่ก็ต้องปราชัยต่อ ทอมมี่ มอร์ริสัน พลาดคว้าเข็มขัด ดับเบิ้ลยูบีโอ ที่ว่างอย่างน่าเสียดาย

 

1 ปีต่อมา โฟร์แมน ในวัย 46 ปี ได้ชิงแชมป์โลกอีกครั้ง คราวนี้ต้องเจอกับ ไมเคิล มัวเรอร์ แชมป์ ไอบีเอฟ และ ดับเบิ้ลยูบีเอ วัย 27 ปีที่ยังไม่เคยแพ้ใคร แน่นอนหลายคนฟันธงว่ามัวเรอร์จะป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ แต่เมื่อถึงยก 10 โฟร์แมนก็ออกหมัดขวาทิ่มเข้าปลายคาง ส่งคู่ชกลงไปนอนกับพื้นเวที กลายเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในอาชีพ และครองสถิติแชมป์โลกอายุมากที่สุดในรุ่นเฮฟวี่เวตมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ไฟต์สุดท้ายของเขาเกิดขึ้นในปี 1997 โฟร์แมนแพ้คะแนนแชนนอน บริกก์ส ก่อนประกาศแขวนนวมในวัย 48 ปี ยุติอาชีพด้วยสถิติชกชนะ 78 แพ้ 5 ไฟต์ ซึ่งเป็นการชนะน็อกถึง 68 ไฟต์เลยทีเดียว

 

4.อาร์ชี่ มัวร์

 

 

หนึ่งในนักชกรุ่นเก๋าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยในปี 1956 ขณะที่ มัวร์ อายุ 40 ปี เจ้าตัวยังคงได้รับการจดจำในฐานะแชมป์โลกรุ่น ไลต์ เฮฟวี่เวต และครองตำแหน่งยาวนานไปอีก 4 ปีหลังจากนั้น ซึ่งความจริงแล้ว มัวร์ มักจะขึ้นสังเวียนดวลดำปั้นกับนักชกที่ตัวใหญ่กว่าเขาในรุ่นเฮฟวี่เวต และจะลงมาต่อยรุ่นไลต์ เฮฟวี่เวตก็ต่อเมื่อต้องป้องกันแชมป์เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะชกในรุ่นอะไร สไตล์ส่วนใหญ่ของเขาก็ยังคงเดิมคือ ฟุตเวิร์กที่ยอดเยี่ยมบวกกับการป้องกันที่เหนียวแน่น พร้อมกับหมัดที่หนักพอจะส่งคู่แข่งร่วงลงไปกองกับเพื่อนเวที

 

ไฟต์สุดท้ายของมัวร์เกิดขึ้นในปี 1963 ซึ่งเจ้าของฉายา "พังพอนเฒ่า" ชนะน็อก ไมค์ ดิบิอาซี่ นักมวยปล้ำอาชีพที่ขึ้นชกมวยเป็นไฟต์แรกในยกที่ 3 ก่อนจะประกาศแขวนนวมในวัย 47 ปี พร้อมสถิติอันน่าตกตะลึงคือชนะ 186 แพ้ 23 และเสมอ 10 ไฟต์ โดยเป็นการชนะน็อกถึง 132 ไฟต์ มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์วงการมวย เป็นรองเพียง บิลลี่ เบิร์ด เจ้าของสถิติชนะน็อก 138 ไฟต์เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

3.แลร์รี่ โฮล์มส์

 

 

ในตอนที่ แลร์รี่ โฮล์มส์ แพ้น็อกยก 4 ต่อ ไมค์ ไทสัน เมื่อปี 1988 กูรูหลาย ๆ คนเชื่อว่า เส้นทางอาชีพของนักชกวัย 38 ปีในขณะนั้นจบลงแล้ว หลังจากก่อนหน้านั้นก็เพิ่งแพ้ ไมเคิล สปิงซ์ 2 ไฟต์ติด แต่เจ้าของฉายา "มือสังหารแห่งอีสตัน" เลือกที่จะสู้ต่อไป ซึ่งมันกลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

 

โฮล์มส์เข้าใจดีว่าการชกในรุ่นเฮฟวี่เวตช่วงเวลานั้นยังไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมากกมายนัก และด้วยการที่ จอร์จ โฟร์แมน ยังประสบความสำเร็จ โฮล์มส์จึงเชื่อว่าตัวเองก็ทำได้เช่นกัน โดย 3 ปีต่อมาหลังจากแพ้ไทสัน โฮล์มส์ในวัย 41 ปี กลับขึ้นสังเวียนอีกครั้งและชนะทีเคโอ ทิม แอนเดอร์สัน ตั้งแต่ยกแรก นับจากนั้นโฮล์มส์ก็ขึ้นสังเวียนอีก 23 ไฟต์ชนะ 20 แพ้เพียง 3 ไฟต์ ซึ่งเป็นไฟต์ชิงแชมป์โลกทั้งหมด ก่อนจะปิดฉากอาชีพหลังชนะคะแนน เอริค "บัตเตอร์บีน" เอสช์ เมื่อปี 2002 ด้วยวัย 53 ปี

 

2.โรเบร์โต้ ดูแรน

 

 

ในช่วงวัยหนุ่ม โรเบร์โต้ ดูแรน เป็นนักมวยที่มีส่วนผสมของความดุดันและพละกำลัง ในช่วงจุดพีกของอาชีพเจ้าตัวไล่ถลุงคู่แข่งเป็นว่าเล่นและกลายเป็นนักชกที่น่าหวาดหวั่นที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น แต่หลังจากพ้นช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้ว ดูแรนก็ยังคงขึ้นสังเวียนต่อไปแม้จะอายุเพิ่มมากขึ้นและสภาพร่างกายไม่ได้ดีเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามด้วยการมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมและเชิงมวยอันยอดเยี่ยมทำให้ดูแรนยังคงยืนหยัดอยู่ในวงการได้แบบไม่อายใคร

 

ในขณะที่เจ้าของฉายา "กำปั้นหิน" ช่วงวัยรุ่น พึ่งพากายภาพและพละกำลังในการชก แต่ดูแรนในวัยเก๋าอาศัยเทคนิค, การกะช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม และการบุกอันชาญฉลาด ขณะเดียวกันปฏิกิริยาตอบสนองในเชิงรับของเขายังคงเฉียบคมพอที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายหรือลดทอนความเสียหายได้ จึงทำให้ยืนระยะได้อย่างยาวนาน

 

ชัยชนะไฟต์สุดท้ายในอาชีพของ ดูแรน เกิดขึ้นในปี 2000 โดยเป็นการชนะคะแนน แพทริก กูสเซ่น ก่อนจะแพ้ เฮคเตอร์ คามาโช่ ในปีต่อมา ซึ่งเป็นไฟต์สุดท้ายบนสังเวียน หลังจากนั้นเจ้าตัวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรงทำให้ต้องประกาศแขวนนวมในวัย 50 ปี พร้อมกับสถิติชก 119 ไฟต์ ชนะ 103 ไฟต์ ซึ่งเป็นการชนะน็อก 70 ไฟต์ แพ้ 16 ไฟต์

 

1.เบอร์นาร์ด ฮ็อปกิ้นส์

 

 

ไม่มีใครปฏิเสธในเรื่องที่ว่า เบอร์นาร์ด ฮ็อปกิ้นส์ ทำผลงานได้ดีแม้ผ่านช่วงเวลาที่สภาพร่างกายสมบูรณ์ที่สุดไปแล้ว โดยฮ็อปกิ้นส์คว้าแชมป์โลกสมัยแรกในวัย 30 ปี เมื่อเขาครองเข็มขัดรุ่นมิดเดิลเวตของไอบีเอฟในปี 1995  จากนั้นเจ้าของฉายา "เพชฌฆาต" ก็ป้องกันตำแหน่งได้ถึง 20 สมัย กลายเป็นสถิติสูงสุดของรุ่นมิดเดิลเวตจนถึงปัจจุบัน

 

แฟนมวยและกูรูหลายคนยกให้ฮ็อปกิ้นส์เป็นหนึ่งในนักชกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อเทียบปอนด์ต่อปอนด์ แต่ผลงานที่น่าจดจำที่สุดของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่มีอายุ 40 ปีไปแล้ว โดยในวัย 42 ปี ฮ็อปกิ้นส์เอาชนะ อันโตนิโอ ทาร์เวอร์ คว้าแชมป์ของไอบีโอ และนิตยสาร เดอะ ริง แม้เขาจะเสียแชมป์ให้กับ โจ คัลซากี้ ในปี 2008 แต่ 3 ปีต่อมา ฮ็อปกิ้นส์ ก็เอาชนะ ฌอง ปาสกาล คว้าแชมป์รุ่นไลต์ เฮฟวี่เวตของ ดับเบิ้ลยูบีซี, เดอะ ริง และเป็นแชมป์สายตรงได้สำเร็จ

 

หลังจากนั้นฮ็อปกิ้นส์ยังคงเดินหน้าบนเส้นทางสายกำปั้นอย่างน่าทึ่ง แม้จะเสียแชมป์ให้ แชด ดอว์สัน ใน 2 ไฟต์ต่อมา แต่ก็ไปกระชากเข็มขัดของ ไอบีเอฟ จาก ทาโวริส คลาวด์ ได้สำเร็จในปี 2013 ก่อนจะป้องกันแชมป์ได้ 1 สมัย ตามด้วยการชนะคะแนน เบย์บุต ชูเมนอฟ ทำให้ได้ครองตำแหน่งซูเปอร์แชมป์ของ ดับเบิ้ลยูบีเอ และ ไอบีเอ เพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ตาม 2 ไฟต์สุดท้ายในอาชีพของฮ็อปกิ้นส์ไม่น่าจดจำนัก เจ้าตัวครองแชมป์ 3 สถาบันได้ไม่ถึง 6 เดือนก็มาแพ้ต่อ เซอร์เก โควาเลฟ ก่อนจะปิดฉากอาชีพหลังแพ้น็อกแบบตกเวทีต่อ โจ สมิธ จูเนียร์ ในเดือนธันวาคมปี 2016 ในวัย 51 ปี


stadium

author

ไทเกอร์ วืด

StadiumTH Content Creator

La Vie en Rose