ชีวิตคนละขั้วของชายคนแรกที่ชนะน็อก แมนนี่ ปาเกียว

ตลอดชีวิตการเป็นนักมวยของ แมนนี่ ปาเกียว ยอดกำปั้นชาวฟิลิปปินส์ เคยเจอกับความพ่ายแพ้ 7 ครั้ง ตลอดการขึ้นสังเวียน 71 ไฟต์ หนึ่งในนั้นคือการพ่ายแพ้ เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม นักชกชาวไทย แต่เมื่อพูดถึงชายคนแรกที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับแชมป์โลก 8 รุ่นรายนี้ คงไม่มีใครจดจำชื่อของ รัสติโก ตอร์เรคัมโป เท่าไรนัก

เมื่อได้ยินว่าเป็นนักมวยระดับที่น็อกปาเกียวได้แล้ว หลาย ๆ คนคงคิดว่าเจ้าตัวน่าจะประสบความสำเร็จในแวดวงกำปั้น แต่ความเป็นจริงนั้นตรงกันข้าม ตอร์เรคัมโป ชีวิตตกอับถึงขั้นเป็นผู้ลี้ภัยจากคดีฆาตกรรม และปัจจุบันพยายามใช้ชีวิตโดยไม่เป็นที่สนใจมากที่สุด ผิดกับคนที่เขาเคยเอาชนะได้เมื่อ 24 ปีที่แล้ว

ชีวิตของ ตอร์เรคัมโป พลิกผันได้อย่างไร และปาเกียวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักกีฬาที่ใจบุญมากที่สุดคนหนึ่งให้ความช่วยเหลือคู่ปรับเก่าอย่างไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

ย้อนรอยความพ่ายแพ้ครั้งแรกในอาชีพของปาเกียว

ก่อนที่จะมาเป็นนักชกอาชีพนั้น ปาเกียว ใช้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ ต้องหนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็กด้วยความหวังอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น และตัดสินใจใช้กำปั้นหาเลี้ยงชีพตามอย่างเด็กในสลัมคนอื่น ๆ ซึ่งในปี 1996 ปาเกียวที่มีอายุ 17 ปี อยู่ในฐานะนักชกอนาคตไกล หลังเอาชนะมา 11 ไฟต์ติดต่อกัน และได้รับการคาดหมายว่าจะเก็บชัยไฟต์ที่ 12 ได้ไม่ยาก เพราะต้องขึ้นชกกับ รัสติโก ตอร์เรคัมโป มวยรองบ่อนที่แพ้น็อกมาแล้ว 4 ครั้งตลอดอาชีพ

อ้างอิงจากหนังสือ Pacman: Behind The Scenes with Manny Pacquiao ระบุว่า ความจริงแล้วอาชีพหลักของ ตอร์เรคัมโป ในขณะนั้น คือการสร้างและรื้อเวทีมวย เขาขึ้นชกเพื่อหารายได้พิเศษเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนขึ้นสังเวียน ปาเกียว กลับไม่ผ่านการชั่งน้ำหนัก ทำให้ต้องสวมนวมหนัก 8 ออนซ์ขึ้นชกกับคู่ต่อสู้ที่ใช้นวม 6 ออนซ์ ข้อได้เปรียบนี้ส่งผลอย่างมาก และในยกที่ 3 ตอร์เรคัมโปก็เหวี่ยงหมัดซ้ายส่งปาเกียวลงไปนอนกับพื้นเวทีและไม่สามารถลุกขึ้นมาชกต่อได้

"ผมโดนทุกหมัดของเขาเลยนะ" ตอร์เรคัมโป เปิดเผยในเวลานั้น "แต่มันไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรเลย ซึ่งเมื่อเขาร่วงลงไปกับเวที ผมก็รู้เลยว่าเขาคงไม่ลุกขึ้นมาแล้ว"

"ผมเตรียมตัวอย่างดีในการเจอปาเกียว ผมรู้ว่าหลังจากออกหมัดแย็บเขาจะออกหมัดตรงหรืออัพเปอร์คัตตามมา ผมจึงรอเขาแย็บแล้วค่อยออกหมัดสวนซึ่งมันกระแทกเข้าไปที่กรามอย่างจัง กรรมการต้องยุติการชกเพราะปาเกียวไม่สามารถยืนตัวตรงได้เลย"

หลังจากไฟต์พลิกล็อกถล่มทลายครั้งนั้น ปาเกียวตอบสนองด้วยการคว้าชัย 5 ไฟต์ติดในปีต่อมา ส่วน ตอร์เรคัมโป น่ะเหรอ? เขาไม่ได้ประโยชน์จากไฟต์นั้นมากอย่างที่ควรจะเป็น เพราะ ณ ขณะนั้นการชนะน็อกปาเกียวไม่ได้มีความหมายมากเท่ากับทุกวันนี้ โดย ฟิลิปปินส์ สตาร์ สื่อในแดนตากาล็อกเปิดเผยว่า ตอร์เรคัมโป ทำเงินจากไฟต์นั้นได้แค่ราว 4,000 บาทเมื่อคิดเป็นเงินไทยแล้ว  

ชีวิตหลังจบไฟต์ของชายผู้น็อกปาเกียว

หนึ่งปีต่อมาหลังจากไฟต์แห่งประวัติศาสตร์ ตอร์เรคัมโป ตัดสินใจแขวนนวมด้วยสถิติชกชนะ 14 ไฟต์ แพ้ 8 เสมอ 6 โดยหลังจากชนะ ปาเกียว ได้แล้ว เจ้าตัวก็กระดูกมือซ้ายแตกในไฟต์ต่อมาแต่ไม่รักษาให้หายขาด ซึ่งมันส่งผลให้เก็บชัยได้เพียงครั้งเดียวจาก 6 ไฟต์สุดท้ายในอาชีพ

จากนั้นตอร์เรคัมโปต้องกระเสือกกระสนในการหาเงินมาประทังชีวิต เจ้าตัวเคยต้องทำงานวันละ 13 ชั่วโมง ในโรงงานถลุงเหล็ก ก่อนจะมาเปิดร้านขายอาหารข้างถนนโดยใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว, พ่อแม่ของภรรยา และพี่น้องของเขาในบ้านสี่เหลี่ยมรูหนูที่บุกรุกที่ดินของรัฐอย่างผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตามเรื่องราวไม่จบแค่นั้น ในปี 2007 รถเข็นขายอาหารของตอร์เรคัมโปถูกรถอีกคันพุ่งเข้าชนจนได้รับความเสียหาย ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีปากเสียงกันรุนแรง ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานชายที่ขับรถคันดังกล่าวก็ถูกพบว่าเสียชีวิตโดยมีแผลถูกแทง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับตอร์เรคัมโปในข้อหาฆาตกรรม

ในช่วงเวลาเดียวกัน ชายที่ตอร์เรคัมโปเคยเอาชนะอย่างปาเกียว กลับทำให้ชื่อเสียงของตัวเองโด่งดังขึ้นอีกขั้น เมื่อเอาชนะ มาร์โก อันโตนิโอ บาร์เรร่า คว้าแชมป์ WBC รุุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวตได้สำเร็จที่นครลาส เวกัส

ขณะที่ ตอร์เรคัมโป กลายเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมาย ซึ่งตรงส่วนนี้ยิ่งทำให้เรื่องราวของเขาผิดปกติมากยิ่งขึ้น

ช่วงเวลาที่หายไปจากสังคม กับการคืนสังเวียน

ไม่มีใครบันทึกเอาไว้ว่าช่วงเวลา 4 ปี ระหว่างการออกหมายจับของตำรวจกับการคืนสังเวียนของตอร์เรคัมโปในปี 2011 นั้น เจ้าตัวทำอะไรมาบ้าง โดยสกายสปอร์ตส์ สื่ออังกฤษระบุว่า แหล่งข่าวใกล้ชิดที่สุดเปิดเผยว่าตอร์เรคัมโปไม่ได้ถูกจับกุมแต่อย่างใด

แต่หลังจากแขวนนวมไป 14 ปี เขาก็กลับขึ้นสังเวียนอีกครั้ง และเก็บชัยชนะจากการน็อกคู่แข่งในยก 3

"ผมรู้ว่าตัวจะไม่มีวันเป็นอย่างปาเกียว แต่ผมก็ต้องการสู้ต่อไป" ตอร์เรคัมโปให้สัมภาษณ์หลังจบไฟต์ "ผมต้องการไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้"

เกือบจะวันเดียวกับที่ตอร์เรคัมโปคืนสังเวียน ในอีกฟากของโลก ปาเกียวคนที่ถูกเขาน็อกได้รับเชิญให้เข้าไปเยือนทำเนียบขาวเพื่อพบกับประธานาธิบดี บารัค โอบามา

ตอร์เรคัมโปพูดถึงอดีตคู่ชกในตอนนั้นว่า "ผมมีความสุขกับเขา เขาโชคดี ตอนนี้ก็มีฐานะร่ำรวยแล้ว ซึ่งหากเขาอยากจะเจอผม ผมคงจะสนองความต้องการนั้นไม่ได้ เพราะไม่มีเงินเป็นค่าเดินทาง แต่ถ้าเขาให้เงินผมสัก 1,000 เปโซ (ราว 640 บาท) ผมจะยอมลางานทั้งวันไปหาเขาเลย"

ปาเกียวยื่นมือช่วยเหลือคู่ปรับเก่าหรือไม่?

เป็นที่รู้กันดีว่า ปาเกียว มักจะบริจาคเงินให้กับผู้ยากไร้อยู่เสมอ ๆ แต่ก็มีข้อโต้แย้งออกมาในกรณีนี้ โดยในปี 2007 ตอร์เรคัมโป ให้สัมภาษณ์ในบทความของนิตยสาร Maxim ว่าเขาไม่เคยได้ประโยชน์จากความใจบุญของปาเกียว

ขณะที่แหล่งข่าวของสกายสปอร์ตส์ ยืนยันว่า นอกจากปาเกียวแล้ว คนอื่น ๆ ในวงการมวย ต่างก็ช่วยเหลือด้านการเงินของ ตอร์เรคัมโป หลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งที่ขอความช่วยเหลือก็ไม่เคยถูกปฏิเสธ นอกจากนั้นเจ้าตัวยังได้ทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์ให้กับค่ายของลูกชาย "แฟลช" อีลอร์เด้ ตำนานนักชกแดนตากาล็อกในเมือง เคซอน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงมะนิลา  

อย่างไรก็ตาม ตอร์เรคัมโป ทำงานเป็นเทรนเนอร์ได้เพียง 3 ปี ก็ลาออก และไม่มีใครได้ยินข่าวของเขาหลังจากนั้น แต่สื่อบางแห่งระบุว่าเจ้าตัวก็ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในวงการมวย ซึ่งนี่เป็นความเคลื่อนไหวสุดท้ายของชายคนแรกผู้ชนะน็อกปาเกียว

แล้ว เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม ล่ะ?

หากตอร์เรคัมโปคือชายคนแรกที่ชนะน็อกปาเกียวในการชกอาชีพแล้ว เม็ดเงิน กระทิงแดงยิม หรือชื่อจริงว่า บุญใส สังสุราช ก็นับเป็นชายคนแรกที่ชนะน็อกปาเกียวหลังจากที่เจ้าตัวได้แชมป์โลก โดยในไฟต์เมื่อปี 1999 ปาเกียวเจ้าของแชมป์ WBC รุ่นฟลายเวตขณะนั้น มีโปรแกรมขึ้นชกกับ เม็ดเงิน ที่อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช แต่ยอดมวยชาวฟิลิปปินส์ไม่สามารถทำน้ำหนักให้อยู่ในพิกัดได้ หลังจากชั่งไปถึง 5 ครั้ง ทำให้เสียเข็มขัดตั้งแต่ยังไม่ทันขึ้นสังเวียน ก่อนที่เม็ดเงินจะเอาชนะน็อกในยกที่ 3 จากหมัดขวาอัดเข้าลำตัว

หลังจากนั้น เม็ดเงิน ป้องกันตำแหน่งได้ 1 สมัย ก่อนจะเสียแชมป์ให้กับ มัลคอล์ม ทูนาเกา นักชกชาวฟิลิปปินส์อีกราย แต่ก็มาได้แชมป์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวตของสภามวยเอเชียหรือ ABC และป้องกันแชมป์ได้หลายสมัยก่อนจะสละเข็มขัดในปี 2006 ส่วนไฟต์สุดท้ายในอาชีพคือการชนะทีเคโอ วันชนะ พัฒนาการยิม เมื่อปี 2011

ปัจจุบัน เม็ดเงิน ทำงานกับบริษัทน้ำดื่มยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของไทย และยังคงติดต่อกับพี่น้องในวงการมวยเรื่อยมา