25 กุมภาพันธ์ 2563
“กือราเซา” มิตรแท้แห่งแคริบเบียน
“การมาแข่งขันรายการคิงส์คัพที่ไทยถือเป็นบรรยากาศแปลกใหม่ที่น่าประทับใจ ที่นี่เราได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นเหมือนได้เล่นในบ้านตัวเอง” คำกล่าวหลังเกมของเรมโก บิเซนตินี กุนซือใหญ่ทีมชาติกือราเซาในครั้งที่พาทีมทะลุเข้าชิงฯคิงส์คัพหนล่าสุด โดยหนนั้นจบลงด้วยรอยยิ้มและความสุขสมหวังของพวกเขาชาวลุ่มน้ำทะเลแคริบเบียน (กือราเซาชนะเวียดนามจากการดวลจุดโทษตัดสินแชมป์ พร้อมกับคว้าแชมป์ครั้งแรกบนดินแดนแห่งรอยยิ้มแห่งนี้)
ที่ผมจั่วหัวด้วยประโยคที่ว่า “เขาคือมิตรแท้แห่งแคริบเบียน” นั่นเพราะเห็นได้ชัดว่าทีมชาติกือราเซาค่อนข้างให้เกียรติและให้ความสำคัญกับการมาแข่งที่ไทยเสมอ
ท่ามกลางข่าวการระบาดหนักของไวรัสโคโรน่าในทวีปเอเชียจนทำให้รังสีแห่ง “ความกลัว” ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีป, อุปสรรค์ด้านการเดินทางที่ต้องต่อเครื่องหลายครั้งและบินมาราธอนรวมกันยาวนานถึง 33 ชั่วโมง กับการลงเล่นกับทีมที่มีอันดับฟีฟ่าอยู่ห่างลงไป30กว่าอันดับ มองมุมไหน..หากไม่ใช่เรื่องของ “มิตรภาพ” ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากที่แมตช์นี้จะเกิดขึ้นมาได้
สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อแบบสนิทใจในมิตรภาพระหว่างเราและเขามาจากเหตุการ์ณในครั้งที่พวกเขาคว้าแชมป์คิงส์คัพเมื่อกลางปีที่แล้วนั่นแหละ หนนั้นในอินสตาแกรมของพวกเขาได้เผยแพร่คลิปการเฉลิมฉลองแบบดีใจสุดเหวี่ยงของนักเตะกือราเซา บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจ (เป็นภาพที่น่าประทับใจที่ไม่ต้องใช้คำบรรยายใต้ภาพก็สื่อได้ถึงความหมาย)
ยิ่งพอมีการเผยถึงบทสัมภาษณ์ของนักเตะในทีมหลายคนที่ต่างพูดถึงความภาคภูมิใจที่พวกเขาสามารถบุกมาหยิบแชมป์ในรายการที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดของเอเชียนี้ได้ ยิ่งตอกย้ำว่ากือราเซาให้เกียรติและให้ความสำคัญเรามากแค่ไหน
ในมุมของแฟนลูกหนัง(ส่วนใหญ่)อาจไม่คุ้นเท่าไหร่กับทีมชาติกือราเซา เพราะจะว่าไปในระดับชิงแชมป์ทวีปหรือในบอลโลก กือราเซาเองก็ยังไม่สามารถเบียดทำผลงานแซงชาติชั้นนำอย่างเม็กซิโก, อเมริกา, คอสตาริกา หรือฮอนดูรัสเข้าป้าย
แต่ถ้าเรามองให้ลึกลงไปในคุณภาพทีมและอันดับฟีฟ่า ทีมชาติกือราเซาคือทีมที่มีเหล่าแข้งจากเวทียุโรปติดทีมอยู่มากมาย(โดยเฉพาะที่เล่นในลีกดัตช์และอังกฤษ) แถมยังเป็นทีมอันดับ 8 ของทวีป(อยู่ในลีกเอซึ่งเป็นลีกสูงสุดของเนชั่นลีก) มันเลยไม่แปลกที่ว่าทำไมทีมๆนี้ถึง “ไม่ธรรมดา” และการได้มาซึ่งแชมป์คิงส์คัพที่บุรีรัมย์จึงถือเป็นเรื่องที่ “เป็นไปตามคาด”
ผมคิดว่าการที่กือราเซาตอบรับมาอุ่นเครื่องที่ไทยแบบที่ใช้เวลาไม่นานในการตอบอีเมล์หนนี้ อาจเพราะพวกเขามีทั้งความเชื่อมั่น, ไว้วางใจ และประทับใจในการมาเล่นที่นี่ (มิตรภาพและความอบอุ่นจากผู้คนในดินแดนแห่งรอยยิ้มแห่งนี้)
และอีกในเหตุผลนึง มันคือเกมอุ่นเครื่องที่วิน-วินกันทุกฝ่าย สำหรับเรามันคือการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า (ในเวลาที่จำกัดในการหาทีมมาแทนปานามา) การเจอกับกือราเซาก็เหมือนบททดสอบการเผชิญหน้าคู่แข่งที่มีสไตล์การเล่นแบบดัตช์บวกลาตินอเมริกา (ที่มีทั้งความเร็วบวกความแข็งแกร่งด้านสรีระ) ซึ่งแน่นอนว่าหากเราสามารถเอาชนะพวกเขาได้ ทั้งคะแนนฟีฟ่าและเรื่องความมั่นใจก่อนดวลยูเออีก็จะมีมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนกือราเซาเอง นี่คือการเดินตามแผนงานที่พวกเขาเคยพูดไว้ว่าหากมีโอกาสต้องออกไปอุ่นเครื่องกับทีมต่างทวีปบ่อยๆ เพราะนั่นจะทำให้ทีมได้ประสบการณ์กับฟุตบอลที่มีสไตล์การเล่นที่ต่างออกไปจากลาตินอเมริกาซึ่งปกติก็เจอกันบ่อยอยู่แล้วในโกลด์คัพ, เนชั่นลีกและคัดบอลโลก (ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา กือราเซาเริ่มเปิดตัวอุ่นเครื่องกับทีมต่างทวีปมากขึ้น โดยมีทั้งกาตาร์, โบลิเวีย และคิงส์คัพที่ไทย)
“สิ่งดีๆมักเกิดขึ้นได้เสมอในเกมลูกหนัง และไม่สำคัญว่าระยะทางจะมีมากแค่ไหน หรือคนรอบข้างจะพูดกันว่าอย่างไร นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้มิตรภาพระหว่างทีมสองทีมนั้นลดทอนลงไปได้”
เกมระหว่างไทยกับกือราเซาจะเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ระหว่างสองทีมที่อยู่ต่างทวีปกัน, สองทีมที่อยู่ห่างกันเป็นหมื่นไมล์ และเป็นสองทีมที่คนในชาติต่างมีความฝันเหมือนๆกันว่าอยากได้ยินเพลงชาติในฟุตบอลโลกซักครั้ง
“Welcome to Thailand and Thank you”
TAG ที่เกี่ยวข้อง